Google
 

Sunday, April 4, 2010

หนีตาม เด็กหลังเขา :: กว่าจะถึง "แม่ฮ่องสอน"

พวกเราออกเดินทางจากร้านกาแฟข้างทางที่รสชาด "ห่วยแตก" แต่มีรอยยิ้มของเจ้าของร้านที่ "นุ่มละมุน" ที่สุดร้านหนึ่ง เพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งจะเป็นจุดหมาย ปลายทางของเราในวันนี้ ซึ่งระยะทางไม่ได้ใกล้เลยทีเดียว

กว่าที่เจ้าฟอร์จูนเนอร์จะพาพวกเราเข้าเขตตัวเมืองแม่ฮ่องสอน ก็ปาไปเวลาฟ้ามืด รถเข้าจอดยังที่จอดรถของพาณิชย์จังหวัดแม่ฮ่องสอน ซึ่งดูแล้วหน้าจะมีความปลอดภัยในระดับหนึ่ง แล้วพวกเราจึงเริ่มออกหาบ้านที่จะใช้พักผ่อนกันในคืนนี้

เดินดูบ้านที่ให้เช่าค้างแรมได้ไม่นานก็ต้องหยุดภาระกิจดังกล่าวเอา ไว้ก่อน เพราะท้องก็เริ่มจะร้องเสียแล้ว เราจึงเปลี่ยนเป้าหมายจากบ้านพักมา เป็นร้านอาหารสำหรับอาหารเย็นมื้อนี้เสียก่อน

วันนี้ของแม่ฮ่องสอนเปลียนไปจากเมื่อสิบกว่าปีก่อนที่เราได้มา เยือนอย่างมากมาย แต่เราก็ยังไม่ลืมเลือนรสชาดอาหารของร้าน "ใบเฟรินส์" ที่ครั้งหนึ่งเราได้เคยมาลองลิ้มชิมรส จึงได้พาบรรดาเด็กหลังเขาทั้งหลาย สลัดคราบยาจกไปนั่งกินของหรูกันใน "ร้านใบเฟรินส์" กันดีกว่า

นอกจาก "แม่ฮ่องสอน" จะเปลียนไปแล้ว "ร้านใบเฟรินส์" ก็ดูเหมือนจะเปลียนไปด้วย จากร้านที่เป็นแบบ Open Air ก็กลายเป็นร้านติดแอร์ มีดนตรีโฟล์คเล่นสดให้ได้ฟัง แม้นแต่บรรยากาศการจัดร้านก็ยังเปลียนไป

เมื่อบริกรมาจดรายการอาหาร พวกเราก็สั่งอาหารที่เป็นดารานำในจัง หวัดแม่ฮ่องสอนเลยทีเดียว "ผักกูด" คือรายการอาหาร นั้น แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะคงเป็นดาราดังจริง ๆ วันนี้จึงหมดเร็วและไม่มีบริการลูกค้าต่อทั้ง ๆ ที่ยังหัวค่ำอยู่เลย

เราจัดการกับอาหารเย็นกันแบบไม่ประทับใจนัก และออกไปเดินชมเมืองกันก่อนที่จะไปหาที่พัก จำได้ว่าสมัยก่อนแม่ฮ่องสอนนั้นเป็ฯเพียงเมืองเล็ก ๆ ไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรให้ได้ทำมากนัก แต่มาในวันนี้ "ตลาดมืด" (ขายของกันตอนมืด) ผุดขึ้นมาแทบจะทุกซอยของตัวเมือง

สินค้าที่ขายในตลาดดังกล่าวนั้นก็ค่อนข้างที่จะเหมือนกันฃ เช่น ของที่ระลึก ผ้าซิ่น ผ้าปัก ฯลฯ พวกเราได้แต่เดินดู ดูแล้วก็ดู ไม่ได้คิดจะซื้ออะไรเพราะรู้ว่าเราคงต้องเดินทางต่อไปอีกหลายวัน การเดินซื้อของมาเก็บไว้มาก ๆ รังแต่จะสร้างความไม่สะดวกให้กับการเดิน ทาง และการเป็นอยู่

เราเดินอยู่ในตลาดยังไม่ทันจะถึงห้าทุ่มร้านรวงต่าง ๆ ก็พากันทยอยปิดตัวลงเงียบ ๆ จนพวกเราต้องรวมตัวกันไปขึ้นเจ้าฟอร์ จูนเนอร์เพื่อออกหาบ้านพักสำหรับคืนนี้กันต่อ

No comments: