Google
 

Saturday, April 17, 2010

เดินป่าพรุชิง ป่างามยามหน้า แล้งแห่งอุทยานแห่งชาติศรีพังงา จ. พังงา

" กลับมาแล้ว ได้กลับมาที่นี้อีกครั้ง " ฉันนึกในใจ เจ้านาฟ้าค่อยๆเคลื่อนจากทาง แยกถนนใหญ่เข้าเขตอุทยานแห่งชาติศรีพังงา แสงแดดยามสายๆส่องสะท้อนละอองน้ำบนลานหญ้าที่ผ่านการตัดแต่งบรรจง รักษาดูแลอย่างดี สบายตา สดชื่น จริงๆ

ฉันรีบลง ทักทายพี่เณรที่เดินตรงมา พร้อมกับเดินไปทักทาย สมาน เฉลิม แล้วก็สิน เจ้าหน้าที่ชุดเดิมที่เดินป่าเขาแดนเมื่อปีที่ผ่านมา ที่พร้อมกันลุกขึ้นเดินมาต้อนรับ .. ทุกคนอยู่ในชุดพร้อมออกเดินทาง

...

" ขอเข้าเดิน 7 คนนะคะ " ฉันโทรหาหัวหน้าอุทยานฯศรีพังงา

" ผมคิดว่ามากเกินไปนะ "

" งั้น 6 คน " ฉันต่อรองลดจำนวนเพื่อนร่วมทริป พร้อมๆกับเริ่มคิดแระ .. ตัดใครออกดี

" อื่ม! ม ม ม มม ม ..... "

" เอางี้ค่ะ 5 คนก็ได้ค่ะ " น้อยสุดเท่าที่จะทำได้แล้ว ด้วยจำนวนคน ที่ได้รับอนุญาต กับที่ต้องการเดินป่า " พรุชิง " ไม่สอดคล้องกัน ฉันจำเป็นต้องตัดรายชื่อบาง คนออก ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันคงเบิกบานเมื่อได้เดิน แต่มาวันนี้ ฉันไม่ใช่คนที่เดินตามรอยเท้านั้นแล้ว ความรู้สึกอยากเดินร่วมทาง จางหายไปทีละน้อย .. ถ้าฉันไม่ใช่คนเริ่มทริป น่าจะตัดชื่อฉันคนแรกนะเนี่ย

" ต่อจากนี้ไป จะไปด้วยทุกทริปแล้วล่ะ " คำนี้แหละมั้ง ที่ทำให้ฉันเริ่มไม่ชักชวน ParadiseFc เพราะถ้าชวน ก็ต้องนับ 2 นั่นหมายถึงว่า ฉันต้องเห็นสิ่งที่ทำให้ใจที่บอบบางของฉันต้องเจ็บปวด มันทรมานมากนะ

ยังงัยซะหลัง จากทริปนี้แล้ว ฉันคงต้องพิจารณาตัวเอง .. ลาออกจากการเป็น ผจก.ทริปชาวโอ้เอ้แล้วล่ะมั๊ง .. หรือไม่ก็ เปิดทริปโอ้เอ้ที่ไม่มีเค้า ..

ด้วยปริมาณ สมาชิกที่ได้รับอนุญาตแค่ 5 คน คำนวณค่าใช้จ่ายแล้ว เอารถไปเองดีที่สุด แต่จะหนักคนขับเท่านั้น ฉันกัน ParadiseFc ก็เลยตกลงกันว่า

" เอานาฟ้าไป .. เรามือ 1 .. ไปเรื่อยๆตั้งแต่ office ง่วงเมื่อไหร่ เธอมือ 2 แต่คาดว่า แค่วังมะนาวก็ง่วงแล้ว ฮ่าๆ "

ถึงวันเดิน ทาง สละสิทธิ์ไปอีก 1 เอาล่ะ นั่งสบายๆ กับเจ้านาฟ้า 4 คน ออกเดินทาง 2 ทุ่ม ฉันอยู่กะแรก พาเจ้านาฟ้าไปเรื่อยๆ สมองน้อยๆก็คิดไปเรื่อยๆ .. " ถ้าข้างหลังไม่มีใคร .. ถ้ามีแค่เธออยู่ข้างๆแบบนี้ ตลอดไปก็จะดีนะ " ฉันรีบสลัดความคิดนั้นทิ้ง .. " อย่าคิดสิ่งที่เป็นไปไม่ได้น่า "

" ง่วงแระ .. " ฉันส่งเสียงแทรกกับเสียงเพลงดังที่เปิดเป็นเพื่อน

เปลี่ยนมือ ให้ผลัด2 ที่ปราณบุรี กี่ทุ่มจำไม่ได้แล้ว จำได้แค่ว่า ย้ายที่นั่งเสร็จฉันก็หลับตา ปิดสมอง ปิดการรับรู้สิ่งรอบข้างทั้งหมด รู้ตัวอีกครั้ง ..ก่อนเข้าเมืองชุมพร

ปั๊ม ปตท เป็นที่พักนอนอย่างดีสำหรับคนเดินทางอย่างพวกเรา ฉันเตรียมเอามุ้งใหญ่มาด้วยครอบเจ้านาฟ้าได้ทั้งคัน คราวนี้เปิดหน้าต่างรับลม ก็ไม่โดนยุ่งกัด ปรับเบาะนอนหลับสบาย ตี 5 ออกเดินทางต่อผ่านระนอง มุ่งตรงตะกั่วป่า

" เราเดินเข้าทางนี้เหรอ " หลังจากออกจากโรงอาหารของอุทยาน พวกเราเดินมุ่งน้ำขึ้นทางทิศตะวันออกบนเส้นทางลาดยาง หลังจากนั้นก็เลี้ยวเข้าเส้นทางเริ่มต้นเดิน เส้นทางไปน้ำตก

" โตนหินรา 2 กม. น้ำตกโตนขิงแห้ง 3 กม. น้ำตกโตนต้นไทร 3 กม. ไปเส้นนี้เหรอคะ " ฉันอ่านป้ายไปเรื่อยๆ

" ใช่ เดี๋ยวเราจะต้องเดินผ่านน้ำตกทั้ง 3 "

เราเดินผ่า เข้าดงไผ่ ดงกล้วย ข้ามลำธารสายเล็กๆที่เกือบจะแห้ง พี่เณรนำพาพวกเราเดินขึ้นเนินและเริ่มไต่ระดับขึ้นเรื่อยๆ สมาน และเฉลิม 2 คนผลัดกันแบกเป้สัมภาระของฉันเดินปิดท้าย สินน้องเจ้าหน้าที่ที่รับหน้าที่ลากจูงฉันวันนี้พาน้องมนพยาบาล สาวหวานใจมาร่วมทริปด้วย

พี่เณรพา เดินหลบลงลำธารกะว่าจะเจอน้ำให้เย็นๆ ลำธารก็แห้งเกือบตลอดเส้นทาง

แหล่งน้ำ เล็กๆ ก็มีสิ่งมีชีวิตหลบซ่อนอยู่ .. ตัวนี้รอดพ้นเงื้อมมือกลุ่มนาย พรานที่เข้ามาล่าแล้วพี่เณรลาดตระเวณมาพบจับกุม เมื่ออาทิตย์ก่อนที่พวกเราจะมา

สมาน เฉลิม น้องมน สิน เจ้าหน้าที่ร่วมเดินทาง

สายน้ำจาก โตนหินรา ยามหน้าแล้ง เรากินข้าวเที่ยง กันตรงนี้

ต้นน้ำตก โตนหินรา ( ถ้ามาในหน้าฝนเราไม่สามารถมายืนตรงนี้ได้ )

เมื่อฉันเดิน ผ่านโขดหินลำธารที่แห้งเหือด เส้นทางที่เราเดินคราวนี้ถ้าถึงคราว หน้าฝน เราจะใช้เส้นทางไหนเดิน หรือถ้าเราจะเดินตามที่เราเดินในวันนี้ เราจะเดินกันยังงัย .. ฉันเดินไปจินตนาการไป

ต้นน้ำตก โตนขิงแห้ง ( วันนี้ก็ไม่มีน้ำ )

ธารน้ำที่ ไหลออกมาสู่ต้นน้ำตกโตนขิงแห้ง

เส้นทาง เดินที่เดิมเป็นลำธารสายเล็กๆ วันนี้แห้งแล้งกลายเป็นธารใบไม้

พี่เณร สมาน เฉลิม สิน เจ้าหน้าที่และทริปนี้มีน้องมนพยาบาลสาวมาด้วย

" พี่แป๋ม เชื่อมั๊ยว่า ป่าพรุ ที่นี่มีอยู่บนเขา " สินลากจูงฉันเดินไปพูดไปให้คลาย เหนื่อย

ลำพังความรู้ เท่าหางอึ่งที่มีอยู่ ก็รู้แค่ว่า ป่าพรุต้องเป็นป่าที่มีน้ำขังแฉะๆ มีใบไม้ถมๆ มีต้นไม้ที่มีลักษณะรากโผล่พ้นพื้นยั้วเยี้ยเกะกะ

" ป่าพรุ มันอยู่บนนี้เหรอ .. น่าสนใจนะ จะถึงยังล่ะ " ฉันถามไปงั้น แต่ที่อยากเห็น .. " ลานนกหว้า " มากกว่า

ทริปนี้พี่ เณรโฆษณาไว้ตั้งแต่เมื่อปีที่ผ่านมาแล้วว่า ที่ป่านี้มีนกเด่น ถ้าโชคดีเราจะได้เห็นนกหว้า .. " เอาว่ะ! ไม่เห็นตัวได้ยินเสียง เห็นลานก็เป็นบุญตาบุญหูแล้ว "

( ภาพข้างล่างนี้เป็น .. ตัวอย่างนกหว้า ที่พวกเราตั้งใจมานะบากบั่นดั้นด้น ลากสังขารอันอวบท้วมมาดู .. สวยงามแค่ไหน ตัดสินใจเอาเอง.. )

เดินไปพักไป ตั้งแต่ 10 โมงเช้า .. ว่าด้วยระยะเวลาพักมากกว่าเวลาเดิน กว่าเราจะมาถึงจุดนี้ ก็ปาเข้าไปสี่โมงเย็น พี่เณรก็พาเรามาถึงแหล่งน้ำข้างๆ ที่พักแรมของเราคืนนี้ ด้วยเส้นทางที่ลาดบ้างชันมากๆบ้างขอบอกว่า เหนื่อยจะขาดใจ อากาศร้อนจนปวดหัวแทบจะระเบิด ..

" พี่แป๋มมาคราวนี้ ไหวมั๊ยพี่ .. หน้าพี่ไม่มีสีแล้ว " ทั้งมน ทั้นสิน สมาน เฉลิม ผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาถาม ฉันนั่งวิงเวียน ใช้หมวกแทนพัด โบกเอาลมเข้าตัวเองถี่ๆ

" ไหวอยู่ .. เอายาดมมาดมหน่อยดิ " เหลือบเห็นเจ้ามนคนข้างตัวนายสินกำลังสูดดม ก็นึกอยาก

ข้างหน้า เนี่ย ถึงแล้วพี่ พวกเราพักตรงนี้แป๊บ ให้พวกเค้าไปกันก่อน ( พวกเค้าในที่นี้ก็คือ พี่เณร ParadiseFc และพวก ส่วนพวกเรา หมายถึง ฉันที่ห้อมล้อมไปด้วยน้องเจ้าหน้าที่ของอุทยานทั้งสาม และพยาบาลสาวน้อยอีก 1 ฮ่าๆ

พอเริ่มออก เดินไปได้ไม่นาน ก็รู้ว่าเดินหลงกับกลุ่มพวกเค้า พลังงานของฉันที่เกือบ จะหมดประหนึ่งว่าไฟแดงกระพริบร้องเตือน ก็เตือนถี่ขึ้น .. " ไม่อยากเดินแล้วโว้ยยยยย " ฉันตะโกนก้องในใจ ดีที่เจ้าสินยังลากจูงฉันให้เดินไปเรื่อยๆ ฉันปล่อยตัวเดินตามจังหวะลากจูง อ้อมไปอ้อมมา ก็เจอกลุ่มด้านหน้า

" ลานนกหว้าเก่า " พี่เณรรอบอกฉัน .. พี่เณรและกลุ่มผู้นำเดินเร็วเหมือน ตามควายเดินยืนรอพวกเราผู้ล้าหลัง

ลักษณะ พื้นที่เรียบเป็นลานกว้าง ปราศจากกอไม้กิ่งไม้เล็กๆ แต่เนื่องจากเป็นลานเก่าแล้ว จึงถูกปกคลุมไปด้วยใบไม้แห้งที่มีปริมาณ หนาตามกาลเวลา

" ถ้าฉันได้เห็นตัวของเค้า กรีดกรายร่ายรำ อยู่บนลานนี้ มันจะสวยงามแค่ไหนน้อ " ฉันนึกไปกวาดสายตาไปรอบๆ

" เราจะผ่านอีกหลายลาน วันกลับก็ผ่านอีก " สินพูดเสร็จก็ลากจูงฉันเดินต่อไป

ผ่านลาน กำมะหยี่ ( ชื่อนี้ฉันตั้งเองและเข้าใจกันเอง ) ที่มีมอส กลุ่มพื้นสีเขียวต้นเล็กๆปกคลุมพื้นหิน ทั้งลานเหมือนเตียงนอนที่มีผ้ากำ มะหยี่สีเขียวสดเป็นผ้าคลุมเตียง " อยากนอน " .. ก็ได้แค่คิด พวกเราเดินผ่านลานกำมะหยี่ไปอย่างน่าเสียดาย .. ซ้ายขวามีกล้วยไม้ที่เกาะ ตามคาคบ บางกอออกดอกตูมบางกอก็โรยรา ..

" วันนี้ขอผ่านไปก่อนนะ ไม่มีอารมณ์ยกกล้องเท่าไหร่ .. เฮ่อ! ขนาดเอาตัวจิ๋วมาแล้วนะ ยังรู้สึกว่าหนักแทบจะโยนทิ้ง .. สิน.. พรุ่งนี้เราจะมาตรงนี้อีกมั๊ย " ฉันถามเพื่อความแน่ใจ ถ้าไม่คลิ๊กวันนี้ เราจะเดินย้อนมาเก็บภาพเส้นทางนี้หรือเปล่า

" มาพี่ ถ้าไม่ผ่านพรุ่งนี้ ก็ต้องผ่านตอนเราเดินกลับ เดี๋ยวเราจะผ่านดงต้นชิงด้วย " สินบอกเส้นทางที่เราจะต้องเดินผ่านในไม่ช้า

เส้นทางนี้ ไม่ไกลแต่สาหัสพอสมควร เดิมสามารถใช้เวลา 2 วัน 1 คืน แต่สำหรับพวกเราแล้ว บวกเพิ่มอีก 1 วัน สำรวจบริเวณโดยรอบมีอะไรน่าสน ใจมั่ง ที่สำคัญที่สุด เผื่อฟลุ๊คเจอนกหว้า ( กรุณาย้อนขึ้นไปดูภาพตัวอย่างด้านบน ) นกที่จัดว่าสวยงามและหาดูยาก ( ในธรรมชาติ )

ไม่นานพวกเรา ก็ผ่านดงต้นชิง

" ดินแดนของที่มาของคำว่า " พรุชิง " .. น่ะเหรอ "

" นี่แหละ .. ปีนี้แห้งแล้ง ปกติจะมีน้ำขังตลอด " งั้นก็แสดงว่าเส้นทางนี้ นอกจากจะเป็นที่ลุ่มนำขัง มีใบไม้ทับถม บนยอดเขาที่มีความสูง 440 เมตรจากระดับน้ำทะเลแล้ว เส้นทางนี้ก็อุดมไปด้วยเหล่าประชาทาก ฉันคิดได้แค่นี้ ก็เริ่มเช็คเรตติ้ง แล้งๆแบบนี้ เกาะติดมามั่งป่าว

" ตอนนี้น้อยพี่ แต่เห็บน่ะเยอะ " น่านแหละที่น่ากลัวอีกอย่าง กัดเกาะที คันไปเป็นปีเลยที่เดียวสำหรับฉั

" เอาวะ! ปลงแระ ค่อยเช็คเรตติ้งเห็บตอนกลับทีเดียว "

พี่เณรช่วย กางฟรายด์ ผูกเปล ฉันปูกราวด์ ..

" กินกันง่ายๆนะ เดี๋ยวรีบกินรีบนอน " อาการปวดหัวแบบรุนแรงของฉันไม่จา ยหายไปซะที อารมณ์ก็เริ่มขุ่นมัว

" เธอหันหัวไปทางไหน " ParadiseFc เดินเข้ามาถาม

" ทางนั้น " ฉันชี้ส่งๆ ... นั่นหมายความว่า ด้านหัวของเค้าอยู่ด้านเท้าของฉัน คราวนี้ฉันไม่สนใจใครแระนอกจากตัวเอง ทำตามใจตัวเองบ้าง ไม่ย้ายทิศ

เริ่มมืด อาหารแบบง่ายๆ แกงเขียวหวานลูกชิ้นปลากราย ไข่เจียว ก็เสร็จจัดวางเรียง พวกเราล้อมวงกันใต้ฟรายด์ฉัน สนทนากันได้ไม่นาน แยกย้านเข้านอน

" สงสัยจบทริปนี้เราต้องแขวนเป้แล้วม้างเนี่ย เดินคราวนี้ เหนื่อยจะขาดใจ "

" ไม่ได้พักผ่อนเต็มที่ป่าว เจออากาศร้อนๆ ก็เลยไปกันใหญ่ "

ฉันจะบอกเธอ ยังงัยว่า สาเหตุสำคัญอยู่ที่ .. " สิ่งที่ฉันเห็นมันทำให้ใจของฉันเจ็บ ปวด มันทรมาน มันนึกเปรียบเทียบ มันเริ่มน้อยใจ อาการทุกอย่างที่เกิดขึ้นฉันต้องเก็บกลั้น ไม่แสดงออก .. "

" น่าจะใช่เนอะ นอนแระ ให้ตื่นเมื่อไหร่ก็ปลุกแล้วกัน " .. ทิ้งวงสนทนาตะกายขึ้นเปล ฟังเสียงคนด้านล่าง

" นอนไม่ได้ เล็กไป ติดไป " เสียงบ่น เสียงพลิกตัวไปมา จากคอนโดเปล ปลายเท้า เสียงลากรองเท้าเดินเข้ามาใกล้ๆ

" นอนตรงนี้ด้วยคน " เสียงหมอนที่ถูกโยนกระทบกราวด์ฟีท เสียงเลื่อนเป้สัมภาระที่วางเกะกะจากใต้เปล

No comments: