Google
 

Sunday, April 4, 2010

ฮ่องกง

ถึงแม้วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายในฮ่องกง แต่เนื่องจากเป็นเที่ยวบินรอบค่ำ เราจึงมีเวลาอีกหนึ่งวันเต็มๆใน ฮ่องกง แผนการคร่าวๆคงไม่มีอะไรมาก แค่ไปวัดนางชีกับเดินเล่นที่ถนนนา ธานเท่านั้นก็น่าจะหมดวันนี้แล้ว แต่ก่อนอื่นใดกิจกรรมยามเช้าที่พลาด ไม่ได้สำหรับการมาเยือนฮ่องกง นั่นคือการลองลิ้มชิมติ่มซำกัน เราเลือกร้านติ่มซำที่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมที่พัก หน้าร้านมีการตั้งโต๊ะจำหน่ายสำหรับคนที่ต้องการซื้อกลับบ้าน ภายในเรียงรายด้วยโต๊ะจีนที่ขณะนี้เต็มไปด้วยลูกค้าที่มาอุดหนุน โดยความแตกต่างของร้านติ่มซำของที่นี่กับร้านที่เมืองไทยอย่าง หนึ่งคือลูกค้าที่มาอุดหนุนจะนั่งรวมๆกันภายในโต๊ะตัวเดียว เพราะส่วนใหญ่มากันสองสามคน ซึ่งเราสามคนก็ไม่เว้นที่จะต้องไปนั่งรวม กับลูกค้าที่มาก่อนหน้านี้แล้ว พนักงานมารับออเดอร์พวกเราท่ามกลาง ความงงๆว่าจะสื่อสารกันอย่างไร วิธีที่ง่ายที่สุดคือชี้ๆของคน อื่นเอาซึ่งก็พอรอดตัวมาได้ รสชาติติ่มซำที่นี่ก็ไม่ผิดหวังครับ ติ่มซำยามเช้าเคล้าด้วยชาร้อนๆแก้เลี่ยนแค่นี้ก็อิ่มแล้วครับ

เราเดินมุ่งหน้าสู่สถานีหม่งก๊กเช่นเดิม ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงสถานี Diamond Hill อันเป็นทีตั้งของสวนนานเหลียน (Nan Lian Garden) กับวัดนางชี หรือชื่อเต็มๆคือ วัดชินหลิน สำหรับสวนนานเหลียน เป็นสวนสาธารณะที่ตกแต่งอย่างสวยงามตามแบบสวนใน สมัยราชวงศ์ถัง ภายในมีการจัดแต่งได้อย่างสวยงามทั้งต้นไม้ อาคาร ลำธาร ล้วนได้รับการออกแบบอย่างประณีต ตามทางเดินจะมีเจ้าหน้าที่คอย อำนวยความสะดวกเป็นระยะๆ สิ่งก่อสร้างที่โดดเด่นคือเก๋งจีนสีทองอร่าม ที่ตั้งโดดเด่นอยู่บนเกาะกลางน้ำ

ทางเดินภายในสวนที่ลัดเลาะไปในแต่ละส่วนสร้างควาประทับใจด้วย ภาพของศาลาริมน้ำ สวนหินและลำธาร พร้อมกับเสียงเครื่องดนตรีจีนโบราณ ที่คลอเคลียอย่างแผ่วเบา สร้างความรู้สึกที่สงบเยือกเย็น ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับบรรยากาศกลางเมืองของฮ่องกงที่ดูรีบ เร่งและวุ่นวาย

เพียงข้ามถนนมาฝั่งตรงข้ามก็เป็นที่ตั้งของวันชินหลิน วันใหญ่ที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรมสมัยราชวงศ์ถังเช่นเดียวกับสวน นานเหลียน อันที่จริงสถานที่ทั้งสองแห่งได้รับการออกแบบให้ส่งเสริมซึ่งกัน และกัน อาคารไม้หลังใหญ่หลายต่อหลายหลังที่ได้รับการวางผังไว้เป็นอย่างดี หลังคาโค้งที่อ่อนช้อยดูเรียบง่ายแต่งดงาม มีนักท่องเที่ยวมาเยือนที่นี่ไม่มากนักบรรยากาศจึงดูสบายๆเหมาะ กับการนั่งเล่นเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากใช้เวลาอ้อยอิ่งอยู่ที่สวนกับวัดนางชีจนคล้อยบ่ายก็ได้เวลา กลับเข้าเมืองกัน บ่ายนี้ก็ไม่มีอะไรมากนอกจากเดินเล่นแถวถนนนาธาน รอเวลากลับบ้านในคืนนี้ครับ ซึ่งขากลับเราใช้บริการรถไฟ Airport Express เช่นเดิม โดยสามารถเช็คอินได้ที่สถานีรถไฟใต้ดินฮ่องกงเลย แต่ปัญหาก็คือ แทนที่สายการบินจะมารับรถเข็นที่หน้าประตูเครื่องบินดัง เช่นขามา เจ้าหน้าที่เช็คอินกลับบอกว่าจะต้องทำการโหลดรถเข็นจาก ที่นี่เลย โดยจะมีเจ้าหน้าที่พร้อมรถเข็นมารับตรงที่เช็คอินเพื่อ นำไปส่งที่รถไฟ Airport Express แล้วหลังจากเดินทางไปถึงสนามบิน จะมีเจ้าหน้าที่อีกคนพร้อมรถเข็นมารับพร้อมกับพาเดินผ่านพิธีการ จนกระทั่งถึงทางขึ้นเครื่อง ฟังดูซับซ้อนดีมั้ยครับ แต่อย่างไรก็ไม่ได้สร้างความ ลำบากเพราะทางเจ้าหน้าที่มีการประสานงานกันอย่างดี มีการรับช่วงต่อกันเป็นทอดๆตามหน้าที่ของแต่ละคน

เครื่องบินทยานออกจากสนามบินฮ่องกงเมื่อยามพลบค่ำ พอเครื่องลงจอดยังสนามบินสุวรรณภูมิ เจ้าหน้าที่พร้อมรถเข็นก็มายืนรอ รับถึงหน้าประตูก็พาเราผ่านพิธีการด้วยความเรียบร้อย จนกระทั่งมารับกระเป๋าพร้อมรถเข็นที่โหลดมาใต้เครื่อง จึงทำการเปลี่ยนรถเข็นแล้วบอกลาเจ้าหน้าที่พร้อมกับคำขอบคุณที่ ช่วยดูแลเป็นอย่างดี

เราเดินทางกลับถึงบ้านอย่างสวัสดิภาพ กับการเดินทางสี่วันที่ดูราบรื่นไร้ซึ่งอุปสรรค ซึ่งจะว่าไปคงเป็นเพราะฮ่องกงเป็นประเทศที่ค่อนข้างเอาใจใส่กับ ผู้พิการ บรรดาสาธารณูปโภคพื้นฐานจึงมีการออกแบบมาเพื่อรองรับการใช้งาน วีลแชร์โดยมีการใส่ใจกับรายละเอียด ทั้งฟุตบาต ลิฟท์ ทางเดิน ที่ส่วนใหญ่บ้านเราจะหลงลืมและมองว่าเป็นเรื่องเล็กๆน้อยๆ แต่สำหรับผู้ที่ต้องใช้วีลแชร์แล้วหละก็ เรื่องเหล่านี้ไม่เล็กเลยนะครับ และที่ขาดไม่ได้คือบุคลากรตามสถานที่ ต่างๆที่ได้ไปเยือน ทุกคนให้การอำนวยความสะดวกอย่างเต็มที่และ เต็มใจ สุดท้ายก็หวังว่าเอ็นทรี่นี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้กับหลายๆ คนนะครับว่าการออกเดินทางโดยใช้วีลแชร์ไม่ได้ยากเกินไปกว่าที่ เป็นไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องเตรียมตัวให้ดีและกล้าที่จะตัดสินใจออกเดิน ทาง แล้วพบกันใหม่กับการเดินทางในทริปหน้าครับ

No comments: