Google
 

Saturday, April 10, 2010

ธรรมะของหลวงปู่ทวด อ่านแล้วส่งต่อเพื่อเป็นธรรมทาน

พูดมาก เสีย มาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่ พูด ไม่เสีย นิ่ง เสีย โพธิสัตว์
image001.jpg
หลวงปู่ทวด
วัดช้างให้ จ.ปัตตานี
ท่านเป็นพระ มหาเถระที่ รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม
" หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "
คาถาบูชาท่าน คือ
นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
ชาติกาล
3 มีนาคม พ.ศ. 2125
ชาติภูมิ
บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
บรรพชา
เมื่อ อายุได้ 15 ปี
อุปสมบท
เมื่ออายุ 20 ปี
มรณภาพ
6 มีนาคม พ.ศ.2225
สิริรวมอายุได้
99 ปี
คติ ธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด

ธรรมประจำใจ

พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย
ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์
ละได้ย่อมสงบ

ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ทุกอย่างใน โลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ

สันดาน

ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได

แต่สันดานของคนเราที่นอน นิ่งอยู่ในก้นบึ้ง
ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัด เกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก

ชีวิตทุกข์

การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติ หนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ
จะเห็น ได้ว่า ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบ งำ
จะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ
เสร็จแล้วจะต้องกินต้อง ถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ
เมื่อ เราจะออกจากบ้าน
ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ การเลี้ยงตนชอบ
นี่คือ ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย

บรรเทา ทุกข์

การที่เราจะไม่ต้องทุกข์ มากนั้น
เราจะต้องรู้ว่า เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม
เรา ต้องเป็นตัวของเราเอง
และ เราจะต้องวินิจฉัยในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้องกับตัวเราว่
สิ่ง ใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ
ยากกว่าการเกิด

ในการที่เราเกิดมา
ชีวิตแห่งการเกิดนั้น ง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก
เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย

ไม่สิ้นสุด

แม่ น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด
กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น

ยึด จึงเดือดร้อน

ทุก วันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโนน่ ยึดนี่
ยึด พวกยึดพ้อง ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ
โดยไม่คำนึงถึงธรรมสากล
จักรวาลโลกมนุษยนี้
ทุก คนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก
สัตว์โลกทุนคนต้อง ใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม
ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน
เกิดการฆ่าฟันกัน
เพราะอารมณ์แห่งการยึดถือ อายตนะ
ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

อยู่ ให้สบาย

ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น
เราต้องอยู่กัน อย่างไม่ยึด
อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่ กันอย่างไม่ยินร้าย
อยู่ กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์
เหนือคำ สรรเสริญ
เหนือนินทา เหนือ ความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือ ชัง
ธรรมารมณ์

การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์ คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง
อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน และรู้หน้าที่ในการงาน คือ
รู้ว่า สิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ
ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทน
เพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผล ตอบแทนต่างๆ แล้ว
ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส
เสียใจ น้อยใจ เป็น ทุกข์
กรรม

ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ ว่า
เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว
ชีวิต การเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์
มี ความรื่นเริง
มารยาท ของผู้เป็นใหญ่

ผู้ใหญ่ไม่ ใช่อยู่ที่เกิดก่อน
ผู้ดี ไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง
มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่ ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก
คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและ สรรเสริญ

โลกิยะ
หรือ โลกุตระ
คนที่เดินทางโลกุตระ
ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้
คนที่เดินทางโลกิยะ
ย่อม สำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
ถ้าคนหนึ่ง สำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว
ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็น ธรรมราชาเล่า
?
ถ้าเป็นไปได้
พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้ง ธรรมราชา ไม่ดีหรือ?
แต่มัน เป็นไปไม่ได้ เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกัน

เราต้องตัดสินใจ
ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญ ในการที่จะ เลือกทางใดทางหนึ่ง
ศิษย์ แท้

พิจารณา กายในกาย
พิจารณา ธรรมในธรรม พิจารณาวิญญาณ ในวิญญาณ
นั่น แหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

รู้ ซึ้ง

ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ
เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผล นั้นเกิดจากเหตุ
เราได้ วินิจฉัยข้อนี้แล้ว
เราจึง รู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา
ใจ สำคัญ

การ ทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์
จะต้องทำด้วยความศรัทธา
ผล สะท้อนมันจะเกิดขึ้นเกินความคาดหมาย

หยุดพิจารณา

คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว
จิตมันจะฟุ้งซ่าน
และถ้าภาวะนั้น
ตน ไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไป เรื่อยๆ คือ หยุด พิจารณา
แล้วค้นสัจจะ ของ
ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้
บริจาค

ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ
จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอก
การสวดมนต์เป็นการภาวนา
การ ภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ
การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก
นี่คือเรื่องของนามธรรม

ทำด้วยใจสงบ

เราจะทำบุญก็ดี
เราจะทำอะไรก็ดี จง ทำด้วยความสงบ
อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น
มัน จะพาเราไปสู่หายนะ
เมื่อ เกิดอารมณ์ร้อน
เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จง อย่าทำ
นั่งให้จิตใจมัน สบายเสียก่อน
เมื่อ จิตใจสบายแล้ว ปัญญาก็เกิด
เมื่อเกิดปัญญา แล้ว
จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความ สะดวก
มีสติ พร้อม

จะทำสิ่งใดก็ตาม
เรา ต้องมีสติพร้อม
คือ อย่าให้มีโทสะ
อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ
อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผล
มาอยู่เหนือความจริง
เตือน มนุษย์

มนุษย์ ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีง านทำในไม่ช้า
มนุษย์ ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
มนุษย์ ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า

พิจารณาตัวเอง

คืนหนึ่งก็ดี
วัน หนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร
ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ
ว่า ที่ เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร
คือ ให้ปลีกตัวมีเวลาเป็นของตัวเองบ้าง
คิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น
เพราะ มนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้
มัก เอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง
คัด ลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน เล่มของหลวงปู่ทวด

ขอ ให้ทุกท่านเจริญใน ธรรม

ธรรมะ ของหลวงปู่ทวด อ่านแล้วส่งต่อ เพื่อเป็นธรรมทาน

No comments: