Google
 

Saturday, January 26, 2008

ปริญญาวิชาชีพกับปริญญาชีวิต

อยากให้ทุกคนได้อ่านบทความดีๆ เสี้ยวหนึ่งจาก ท่าน ว.วชิรเมธี
ที่เมืองไทยปีที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก เป็นคนดำเนินรายการคนค้นคน ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร นะ มาเรียนที่อเมริกา เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิส ทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุดแม้กระทั้งล้างจาน ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู ว่าสะอาดจริงมั้ย กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีแฟนก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุด เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ แกเสนอแผนที่สอง แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง วันหนึ่งแกพักผ่อน หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ลุกเมียไปขอพบ บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุ๊บลงไป ภรรยาพาเข้าโรงบาล ตรวจพบมะเร็ง พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริง ๆ เค้าก็เตือนตลอด แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้ แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่ กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า พ่อผมเคยบอกว่า เกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ ปริญญาใบที่หนึ่ง "ปริญญาวิชาชีพ" เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่าย ๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้ อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ แต่"ปริญญาวิชาชีวิต" ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตกเพราะอะไร เพราะทำงานจนป่วยตาย ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่าผมได้เตรียมทุกอย่าง บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้ สิ่งที่ว่านี้คือผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย นี่คือปริญญาวิชาชีวิต ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเองที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดีดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวันนะ แต่ละวันควรจะมีให้ดูแลตัวเอง ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่าพยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ เพื่อที่ว่าอะไร เพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิตหนึ่งปริญญาวิชาชีพเราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่งมีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่ แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง คือวิชาธรรมะ สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุขอยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก อยากทำบุญให้ได้ทำบุญลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี เพราะอะไร เพราะว่าสิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเจ้า ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์ พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิตสุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย คนที่สุขภาพดีดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ และก็ชีวิตของเรา

Tuesday, January 22, 2008

ตาต้า นาโน (Tata Nano) ประมาณ 75,000 บาท

เผยโฉมแล้ว TATA NANO รถยนต์นั่ง 4 ที่นั่งราคาที่ถูกที่สุดในโลกเพียง 74,000 บาท ถล่มวงการรถยนต์ทั่วโลก
ตาต้า นาโน (Tata Nano) รถเล็กเครื่องยนต์ 625 ซีซี ที่ได้ชื่อว่าเป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคลราคาถูกที่สุดในโลกด้วยสนนราคา 100,000 รูปี หรือประมาณ 75,000 บาท ซึ่งถูกกว่าราคาของคู่แข่งรุ่นสูสีที่สุดในตลาด คือรถมารูติของบริษัทซูซูกิ ถึงครึ่งหนึ่ง คือที่มาของปรากฏการณ์ฝันดีท่ามกลางฝันร้ายที่กล่าวมานี้
นั่นอาจจะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่เป็นทอล์ค ออฟ เดอะ ทาวน์ หลังจากที่บริษัท ตาต้า มอเตอร์ส บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของอินเดียเปิดตัวรถรุ่นดังกล่าวออกมาเมื่อวันที่ 10 มกราคมที่ผ่านมาในงานมอเตอร์โชว์ที่ใหญ่ที่สุดของกรุงนิวเดลี แต่นอกเหนือไปกว่านั้นและไม่ค่อยมีการกล่าวถึงคือ ปัญหาการขาดแคลนระบบขนส่งมวลชนพื้นฐานในหลายพื้นที่ของอินเดีย ขณะที่ชนชั้นกลางมีจำนวนมากขึ้นและมีกำลังซื้อรถยนต์เป็นของตัวเองมากขึ้น เบื้องหลังการพัฒนา "รถของประชาชน" หรือ People’s Car รุ่นนี้ออกมาก็คือการตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวอินเดียนับล้านๆ คนที่ต้องการยานยนต์ทางเลือกใหม่สำหรับครอบครัวขนาด 4 คน พวกเขาต้องการรถยนต์นั่งที่ราคาไม่แพงจนเกินเอื้อม และต้องปลอดภัยกว่าการกระเตงคน 4 คนเบียดกันไปบนเบาะมอเตอร์ไซค์หรือรถสกูตเตอร์ ที่มักจะเป็นภาพชินตาในถนนหลายสายของอินเดีย ไม่เพียงตาต้า มอเตอร์ส เท่านั้น ที่เห็นถึงโอกาสจากความต้องการดังกล่าว ผู้ผลิตรถยนต์อีกหลายค่ายซึ่งแข่งขันอยู่ในตลาดอินเดียอยู่แล้ว อย่างเช่นนิสสัน มอเตอร์ และเรโนลต์ ก็มีดำริมาตั้งแต่เดือนมิถุนายนปีที่แล้ว ว่าจะผลิตรถเล็กราคาประหยัดออกมาร่วมประชันในปีนี้เช่นกัน
ในปี 2550 สำนักข่าวเอบีซีของประเทศออสเตรเลียเคยรายงานเอาไว้ว่า ในประเทศอินเดียที่มีประชากรราว 1,100 ล้านคนนั้น อัตราการมีรถยนต์ส่วนตัวใช้ยังนับว่าต่ำมาก คือมีสัดส่วนรถยนต์ส่วนตัว 7-8 คันต่อประชากร 1,000 คน ผิดกับในหลายประเทศซีกโลกตะวันตกที่มีรถส่วนตัว 300-500 คันต่อประชากร 1,000 คน กระนั้นก็ตามจากสภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของอินเดียทำให้มีการคาดการณ์ว่า ภายในปี พ.ศ. 2553 หรืออีก 2 ปีข้างหน้า จำนวนยอดขายรถยนต์ส่วนบุคคลในอินเดียจะเพิ่มขึ้นสองเท่าเป็น 2 ล้านคันต่อปี เฉพาะในกรุงนิวเดลีเมืองหลวง มีสถิติว่า ทุกๆ ปีจะมีจำนวนรถยนต์นั่งส่วนบุคคลออกใหม่มาวิ่งแย่งชิงพื้นที่บนถนนกับบรรดารถลาก วัว และมอเตอร์ไซค์ มากกว่า 200,000 คัน บริษัทวิจัย แมคคินซีย์ให้เหตุผลอธิบายว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะชนชั้นกลางที่มีรายได้เพิ่มขึ้นของอินเดียมีแนวโน้มเพิ่มจำนวน 10 เท่าจาก 50 ล้านคนในปี 2550 เป็น 583 ล้านคนในปี 2568 ฉะนั้นตลาดรถยนต์ราคาประหยัดจึงพุ่งแรงเป็นอย่างยิ่ง นักวิเคราะห์ในวงการรถยนต์ของอินเดียกล่าวเพิ่มเติมว่า การที่ตลาดรถยนต์มือสองไม่เป็นที่นิยม ก็เป็นอีกเหตุผลที่เกื้อหนุนให้ตลาดรถใหม่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว
นายราทัน ตาต้า ประธานบริษัท ตาต้า มอเตอร์ส ซึ่งกำลังทาบทามซื้อกิจการรถยนต์หรูยี่ห้อจากัวร์และแลนด์ โรเวอร์ จากบริษัทฟอร์ด มอเตอร์ อยู่ในเวลานี้ กล่าวถึง "นาโน" รถเล็กราคาถูกที่สุดในโลกของเขา (ข้อมูลจำเพาะโปรดติดตามอ่านหน้า 54 ) ว่า นี่คือความสำเร็จและเป็นข้อพิสูจน์ว่าบริษัท ตาต้า มอเตอร์ส สามารถผลิตรถของประชาชนออกมาได้โดยไม่ตกมาตรฐานทั้งด้านความปลอดภัยและการปล่อยไอเสีย ซึ่งหลายฝ่ายกังวลกันอยู่ ด้านความเห็นภาคประชาชนคนซื้อรถนั้น ปฏิกริยาแรกนับว่าการตอบรับดีมาก จากการที่รถนาโนมีรูปลักษณ์น่าสนใจ ราคาไม่แพงและประหยัดน้ำมัน หลายคนในกลุ่มผู้ชมงานมอเตอร์โชว์กล่าวว่า ถ้าให้เลือกระหว่างมอเตอร์ไซค์ 30,000 รูปี กับรถตาต้า นาโน 100,000 รูปี ก็ขอเลือกซื้ออย่างหลังดีกว่า
รถของประชาชน : ตาต้า นาโน เปิดตัวไม่ทันไรก็เป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก สำหรับคนเดินดินรายได้ปานกลางที่ฝันอยากมีจะรถส่วนตัวไว้ใช้มาเนิ่นนาน นี่คือฝันเป็นจริงกลางวันแสกๆ ชีวิตนี้เห็นจะไม่ต้องโหนตัว ทรงตัว ราวนักกายกรรมจำเป็นบนรถเมล์ รถไฟ และอีกสารพัดขนส่งมวลชนที่แออัดยัดทะนานพอๆ กันอีกต่อไป แต่คนอีกจำนวนหนึ่งกำลังปริวิตกว่า ฝันร้ายมาเยือนเข้าให้แล้ว ยิ่งคิดถึงสภาพการจราจรในเขตเมืองใหญ่ของอินเดีย ที่ยัดเยียดไปด้วยยวดยานและคนเดินถนน คละเคล้าปะปนด้วยเสียงบีบแตรในทุกอณูอากาศ ก็ยิ่งชวนให้ขนลุก
เห็นข่าวแล้วก็ตกใจ กับรถยนต์“นาโน” พีเพิลส์คาร์ จากค่ายตาต้า มอเตอร์ส ค่ายรถยักษ์ใหญ่แดนภารตะ ที่เพิ่งเปิดตัวในบ้านเขาไปเมื่อวาน เมื่อกดเครื่องคิดเลขดูแล้ว คิดเป็นเงินไทยเพียง 75,000-80,000 บาท ใช่ครับ รถเก๋งหลักหมื่น สุดยอดไม๊หล่ะมาดูสเปกของนาโน พีเพิลส์คาร์กันนะครับพีเพิลส์คาร์ ถูกออกแบบโดยใช้ความต้องการของทุกครอบครัวเป็นที่ตั้ง ด้วยพื้นที่ภายในห้องโดยสาร ที่วางเท้า และที่ว่างเหนือศีรษะ มีความกว้าง....
เผยโฉมแล้ว TATA NANO รถยนต์นั่ง 4 ที่นั่งราคาที่ถูกที่สุดในโลกเพียง 74,000 บาท ถล่มวงการรถยนต์ทั่วโลก
นี่คือปรากฏการณ์ครั้งใหม่ที่วงการรถยนต์ควรจดจำเหมือนที่สมัย Ford ได้บรรลุควิธีการผลิตรถแบบแมส หรือ VW สร้างโฟล์คเต่าเพื่อให้มีประชาชนมีรถใช้ดังนั้น TaTa ณ ปัจจุบันสร้างปรากฏการณ์รถยนต์ที่ "ทุกๆคนสามารถซื้อใช้ได้" ซึ่งยังเป็นรถที่มีมาตรฐานอยู่

1. เครื่องยนต์ 624 cc 2 สูบ 33 แรงม้า การปล่อยอากาศเสียดีกว่ามอเตอร์ไซค์ (แค่ไหน.. ไม่รู้)
2. วางเครื่องท้ายรถ
3. อัตราการซด 23 กม./ ลิตร
4. ไม่มีพวงมาลัยเพาเวอร์
5. เกียร์กระปุก ไม่มีออโต้ คงไม่อยากลดความแรงของเครื่องยนต์
6. มีทั้งแบบมีแอร์และไม่มีแอร์ ท่าทางแอร์ต้องออกแบบโดยเฉพาะ เพื่อให้เครื่องยนต์ไม่เสียกำลังมาก
7. เบาะปรับเอนไม่ได้ ไม่มีวิทยุ เพราะจะได้ลดต้นทุนสุดๆ
8. เริ่มจำหน่ายช่วงครึ่งหลังปี 2008 (ในอินเดีย)

ทาทา นาโน Tata nano รถยนต์ ราคาถูกที่สุดในโลก จากประเทศอินเดียทาทา นาโน Tata nano รถยนต์ ราคาถูกที่สุดในโลก จากประเทศอินเดีย รถที่ถูกที่สุดในโลก 75,000บาท ส่งตรงจาก อินเดีย คิดว่าหลายคนในบ้านเราคงสนใจอยู่ไม่ใช่น้อยเลยทีเดียว

ด้วยความที่ ตาต้า อินเดีย ยังไม่ลงภาพเพรสรีลีสหรือรายละเอียดของคันนี้ทำให้เราต้องหาภาพอย่างทุลักทุเลเพราะสื่อมวลชนอินเดียเกือบทุกแขนงให้ความสนใจต่อการเปิดตัว TATA NANO เป็นอย่างมากถึงขนาดถ่ายทอดสดการเปิดตัวผ่านช่อง CNN กันเลยทีเดียวรูปร่างหน้าตากับรถแค่$2,500 หรือ 74,000 บาท (ตามอัตราค่าเงินบาท ณ วันนี้)รวมภาษีรวมอะไรต่อมิอะไรเรียบร้อยแล้ว ถือว่าสอบผ่านในแง่ความเป็นกลางคือดูไม่น่าเกลียดอย่างที่คิดกลับกันสวยกว่าที่คิดไว้เยอะเพราะการออกแบบคือต้นทุนอย่างหนึ่งนั่นเองความเจ๋งของตัวนี้คือ "เครื่องวางหลัง ขับหลัง" เครื่องยนต์เบนซิน 624 ซีซี ให้กำลัง 33 แรงม้า ประหยัดน้ำมัน 30 กม./ลิตร ส่งถ่ายด้วยเกียร์ธรรมดา 4 สปีด

อุปกรณ์มาตรฐานที่ค้างคาใจทุกฝ่าย ก็ไม่ได้น้อยหน้าอย่างที่คิดทุกรุ่นติดตั้งเครื่องปรับอากาศและพวงมาลัยพาวเวอร์ให้ทุกรุ่นระบบเบรคหน้าดิสก์ หลังดรัม

ความเป็นไปได้ที่จะทำตลาดในเมืองไทยมีความเป็นไปได้สูงที่ตาต้า จะนำ nano มาผลิตในไทยปี 2010 ซึ่งอาจจะผ่านในโครงการอีโคคาร์ก็เป็นได้เราต้องอย่าลืมว่า ราคา $2,500 คือราคาเคาะที่อินเดียซึ่งได้รับยกเว้นเสียภาษีสรรถพสามิตรถเล็กที่มีความยาวไม่เกิน 4 เมตร ความจุไม่เกิน 1200 ซีซี เพียง 17% เหมือนกับอีโคคาร์บ้านเรานี่เอง
"พีเพิลส์คาร์" เก๋งนาโน ราคาเพียง 7.5 หมื่นบาท เห็นข่าวแล้วก็ตกใจ กับรถยนต์“นาโน” พีเพิลส์คาร์ จากค่ายตาต้า มอเตอร์ส ค่ายรถยักษ์ใหญ่แดนภารตะ ที่เพิ่งเปิดตัวในบ้านเขาไปเมื่อวาน เมื่อกดเครื่องคิดเลขดูแล้ว คิดเป็นเงินไทยเพียง 75,000-80,000 บาท ใช่ครับ รถเก๋งหลักหมื่น สุดยอดไม๊หล่ะ
มาดูสเปกของนาโน พีเพิลส์คาร์กันนะครับพีเพิลส์คาร์ ถูกออกแบบโดยใช้ความต้องการของทุกครอบครัวเป็นที่ตั้ง ด้วยพื้นที่ภายในห้องโดยสาร ที่วางเท้า และที่ว่างเหนือศีรษะ มีความกว้างขวาง เพียงพอสำหรับผู้โดยสาร 4 ท่าน เป็นรถแบบ 4 ประตู ช่วยให้การเข้าออกรถมีความสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยความยาว 3.1 เมตร กว้าง 1.5 เมตร และสูง 1.6 เมตร พร้อมพื้นตัวถังที่สูงห่างจากพื้นถนนอย่างพอเหมาะ ทำให้รถคันนี้สามารถฝ่าการจราจรที่คับคั่งในเมืองใหญ่ หรือพื้นที่ในถิ่นทุรกันดาร ได้อย่างคล่องตัวยิ่งกว่า ภายใต้การออกแบบ ที่เรียกว่า “โมโน-โวลุ่ม” จัดวางล้อที่สุดปลายมุมทั้ง 4 ด้านของตัวถัง เครื่องยนต์วางท้าย ช่วยให้รถคันนี้มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทั้งในเรื่องของพื้นที่ภายในห้องโดยสาร และความคล่องตัวในการขับขี่ นับเป็นการสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับรถยนต์ขนาดเล็กในตลาดโลก
ตาต้า จะเปิดตัวรถรุ่นนี้พร้อมกัน 2 รุ่น คือรุ่นสแตนดาร์ด และรุ่นเดอลุกซ์ มีสีให้เลือกอย่างหลากหลาย พร้อมอุปกรณ์ตกแต่งอีกมากมาย เพื่อช่วยให้ลูกค้าสามารถตกแต่งรถที่แสดงความเป็นตัวตนได้ตามความต้องการเครื่องยนต์ประหยัดน้ำมัน
รถ พีเพิลส์คาร์ เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง เครื่องยนต์อลูมินั่ม 2 สูบ 623 ซีซี 33 แรงม้า จ่ายน้ำมันด้วยระบบหัวฉีดแบบมัลติพอยต์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกในโลก ที่มีการนำเครื่องยนต์เบนซินแบบ 2 สูบ ซิงเกิ้ลบาลานซ์ชาฟต์ มาติดตั้งในรถยนต์นั่ง ด้วยการออกแบบอย่างชาญฉลาดที่เน้นการใช้งานจริง ช่วยให้เครื่องยนต์มีน้ำหนักเบา แต่ให้พลังงานสูงสุด น้ำมันทุกหยดถูกเปลี่ยนเป็นพลังงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ ควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ด้วยระบบคอมพิวเตอร์
รถ พีเพิลส์คาร์ มีมาตรฐานความปลอดภัยที่สูงกว่าข้อกำหนดของมาตรฐานความปลอดภัยที่ใช้อยู่ทั่วไป ด้วยโครงสร้างตัวถังเหล็กกล้าทั้งคัน ถูกออกแบบให้ห้องโดยสารมีความแข็งแกร่ง พร้อมจุดเด่นในเรื่องความปลอดภัยครบครัน อาทิ Crumple Zones โครงสร้างที่ถูกเสริมความแข็งแกร่งเป็นพิเศษ ปกป้องห้องโดยสารให้คงรูปและให้ความปลอดภัยสูงสุด Intrusion-resistant doors โครงสร้างเสริมความแกร่ง ในประตูทั้ง 4 บาน, เข็มขัดนิรภัย, เบาะนั่งที่แข็งแรง, กระจกท้ายเป็นชิ้นเดียวกับโครงสร้างประตู และยางเรเดียลที่ให้การยึดเกาะเป็นเยี่ยม และเหมาะสมกับการใช้งานในทุกสภาพถนน
รถ พีเพิลส์คาร์ เป็นรถที่มีมลพิษต่ำกว่าค่ากำหนดมาตรฐาน ซึ่งหากเทียบกับค่ามลภาวะทั่วไป รถคันนี้ปล่อยไอเสียที่มีค่ามลพิษต่ำมาก ต่ำกว่าไอเสียที่เกิดจากรถจักรยานยนต์ในอินเดีย และด้วยเครื่องยนต์อันทรงประสิทธิภาพ มั่นใจได้ว่ารถคันนี้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในปริมาณที่ต่ำ ซึ่งก่อให้เกิดประโยชน์ถึง 2 ทางคือ การเดินทางที่ประหยัด และมีมลพิษต่ำ
ค่ายตาต้า มอเตอร์สเองก็ยื่นขอสนับสนุนการลงทุนผลิตรถอีโคคาร์ ในเมืองไทยเช่นกัน ไม่รู้ว่าเจ้านาโนคาร์จะเป็นร่างจำแลงของอีโคคาร์ ของค่ายตาต้าหรือไม่ เพราะว่านาโน พีเพิลส์คาร์สามารถทำเงื่อนไขอีโคคาร์ของเราได้ด้วย โดยเฉพาะเรื่องอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง (Fuel Consumption) ที่ 20 กม./ลิตร แต่เรื่องมาตรฐานไอเสียยูโร4 ต้องมาดูกันอีกที
หากนำเข้าแบบประกอบเสร็จทั้งคัน (CBU) ราคาก็คงประมาณ 1.5แสนบาท แต่ตาต้าก็อาจจะเลือกประกอบในไทย เพื่อใช้เป็นฐานในการผลิตป้อนอาเซียน โดยใช้โรงงานเดียวกับที่จะขึ้นไลน์ผลิตปิกอัพ

อย่างไรก็ตาม ราคาหลักแสนต้นๆ แม้ไม่มีแอร์ ไม่มีเครื่องเสียง หรือ อ.ว.ท.ม.อะไรก็แล้วแต่ มันก็น่าสนสำหรับคนตัวเล็กใช้เดินทางไปจ่ายตลาดใกล้บ้านครับ

Sunday, January 13, 2008

อัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน 12 มกราคม 2551

จั บ ก ร ะ แ ส ต ล า ด
ดอลลาร์ สหรัฐ 33.30 บาท
เยน ญี่ปุ่น(100) 30.70 บาท
ยูโร 49.01 บาท
ปอนด์ อังกฤษ 65.35 บาท
หยวน จีน 4.59 บาท
ดอลลาร์ ฮ่องกง 4.28 บาท
ดอลลาร์ ออสเตรเลีย 29.58 บาท
ดอลลาร์ สิงค์โปร์ 23.39 บาท

เบนซิน 95 33.69 บาท
เบนซิน 91 32.39 บาท
น้ำมันดีเชล 29.74 บาท

ราคาทองคำ รับซื้อ ขายออก
ทองคำแท่ง 13,800 บาท 13,900 บาท
ทองรูปพรรณ 13,598.52 บาท 14,300 บาท

กรรมเหนือหมอดู

คอลัมน์ รื่นร่มรมเยศโดย เสฐียรพงษ์ วรรณปก

ผมเป็นศิษย์โหร แต่มิได้เป็นโหร หลวงพ่อเจ้าคุณพระภัทรมุนี หรือมหาอิ๋น เจ้าอาวาสวัดทองนพคุณ ธนบุรี (สมัยนั้น) เป็นโหราจารย์ชั้นยอด สมัยนั้นมีโหราจารย์ที่ดังอยู่เพียงสองท่านเท่านั้น คือ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (อยู่ ญาโณทยมหาเถระ) ซึ่งต่อมาเป็นสมเด็จพระสังฆราช อีกรูปหนึ่งคือพระภัทรมุนี
แต่โหรสมัยก่อนเขามิได้ทายส่งเดช อย่างหลวงพ่อเจ้าคุณพระภัทรมุนี ท่านเป็นที่ปรึกษาทางจิตใจให้แก่ศิษย์มากกว่าเป็นหมอดู เรื่องประเภทไหนควรทาย ไม่ควรทายท่านมี "จรรยาบรรณ"
บางทีกว่าจะทายได้สักราย ท่านคำนวณแล้วคำนวณอีกถึงสองสามวันก็มี ไม่แน่ใจท่านก็ไม่ทาย
มีเรื่องเล่าว่า หนุ่มสาวคู่หนึ่งจูงมือมาให้หลวงพ่อกำหนดวันแต่งงานให้ ท่านดูๆแล้ว บอกว่าท่านไม่สามารถให้ฤกษ์ได้ ขอให้ไปหาสมเด็จฯวัดสระเกศ สองคนก็ไปหาสมเด็จฯ และก็ได้ฤกษ์ไป มีผู้ถามสมเด็จฯภายหลังว่า ทำไมเจ้าคุณอิ๋นไม่ให้ฤกษ์ สมเด็จฯบอกว่า "เจ้าคุณท่านดูแล้วสองคนนี้จะอยู่ด้วยกันไม่ตลอด
แต่อาตมาถือว่า เขาเป็นคู่กันต้องได้แต่งงานกัน ส่วนต่อไปนั้นจะเป็นอย่างไรเป็นอีกเรื่องหนึ่ง จึงให้ฤกษ์แต่งไป"
ถูกทั้งสองรูป รูปหนึ่งมองว่าถ้าจะแต่งงานกันก็ควรไปได้ตลอด อีกรูปหนึ่งมองว่า ดวงมันเป็นคู่กันก็ต้องได้แต่งงานกัน ส่วนจากนั้นไป จะอยู่ด้วยกันยืดหรือไม่ เป็นเรื่องของทั้งสองคน แล้วแต่จะมอง
เมื่อผมสอบเปรียญเก้าประโยคได้แล้ว หลวงพ่อพยายามชักจูงให้ผมเรียนโหราศาสตร์ ผมก็ยืนยันว่า ไม่อยากเป็น "หมอดู" หลวงพ่อบอกว่า โหร มิใช่หมอดู เราศึกษาโหราศาสตร์ให้เชี่ยวชาญ เพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาชีวิต ไม่จำเป็นต้องพยากรณ์ใคร คล้ายจะบอกว่า โหราศาสตร์ กับพยากรณ์ศาสตร์แยกกันได้
แต่ผมก็เห็นโหรส่วนมากท่านก็พยากรณ์ทั้งนั้น ผมแย้งว่าพระพุทธเจ้าท่านตำหนิเป็น "ติรัจฉานวิชชา" มิใช่หรือ ท่านตอบว่า ถ้าเอาคำจำกัดความว่า ติรัจฉานวิชชาคือ วิชชาที่ขวางต่อการบรรลุมรรคผลนิพพาน เณรเรียนนักธรรมบาลี ก็เข้าเกณฑ์นี้ทั้งนั้น
ผมจำนนท่าน แต่ผมก็ไม่ยอมเรียนอยู่ดี ไม่งั้นป่านนี้เป็นหมอดูแม่นๆ ไปแล้วหลวงพ่อเล่าว่า ปราชญ์โบราณท่านเรียนโหราศาสตร์ทั้งนั้น สมเด็จพระจอมเกล้าฯรัชการที่สี่ สมเด็จมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เป็นต้น ก็ทรงเชี่ยวชาญโหราศาสตร์ทั้งนั้น แต่ก็ไม่เห็นท่านใช้โหราศาสตร์พยากรณ์ใครเป็นอาชีพ แล้วท่านก็เล่าเรื่องที่ต่างๆ ให้ผมฟังแล้วก็ตื่นเต้นด้วยความดีใจที่ได้รับรู้เรื่องราวเก่าๆ ชนิดจะไปหาอ่านที่ไหนไม่ได้
ก่อนทรงศึกษาโหราศาสตร์นั้น พระวิชรญาณ (สมเด็จพระจอมเกล้าฯรัชการที่สี่) ทรงได้รับพยากรณ์จากหลวงตาเฒ่ารูปหนึ่งดูเหมือนชื่อ ทอง แห่งวัดตะเคียนว่า จะได้ราชสมบัติแน่นอน รับสั่งว่าให้เป็นจริงเถอะ จะสมนาคุณอย่างงามเลย แล้วในที่สุดก็ทรงได้ขึ้นครองราชย์จริงๆ ทรงรำลึกถึงหลวงตาเฒ่าวัดตะเคียนขึ้นมา ตั้งพระทัยจะไปนมัสการ ก็ทรงทราบว่า หลวงตาเฒ่ามรณภาพไปนานแล้ว จึงทรงปฏิสังขรณ์เป็นการบูชาคุณหลวงตาเฒ่าแล้วพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดมหาพฤฒาราม (แปลว่า วัดที่สร้างถวายพระผู้เฒ่า)
เมื่อทรงเชี่ยวชาญในโหราศาสตร์แล้ว ก็มิได้ทรงใช้วิชาโหราศาสตร์ทำนายทายทักอะไร นอกจากทรงวิพากษ์วิจารณ์ดวงพระชาตาของพระราชโอรสบางองค์ ดังทรงวิจารณ์ดวงพระชาตากรมหมื่นพิชิตปรีชากร ที่โหรทั้งหลายว่าเป็นดวงแตก เอาดีไม่ได้ ว่าถ้าถอดดวงให้ละเอียดแล้ว กลับเป็นดวงดีอย่างยิ่งเป็นต้น
และทรงสามารถใช้โหราศาสตร์แก่เคล็ดได้อีกด้วย ดังทรงเห็นว่าดวงพระชาตาพระอนุชาธิราชแข็งมาก จะได้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน เมื่อถูกอัญเชิญลาสิกขาเพื่อไปครองราชย์ พระองค์จึงทรงสถาปนาพระอนุชาธิราชให้เป็นกษัตริย์พระองค์หนึ่งพระนามว่า พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ว่ากันว่าทรงแก้เคล็ดทางโหราศาสตร์
สองสามวันมานี้มีข่าวโหร หรือหมอดูแม่นชื่อ หมอดูอีที (ขอประทานโทษถ้าฟังมาผิด) เป็นชาวพม่า ทำนายดวงนักการเมืองดังๆ มามาก หลายท่านก็ว่าทำนายได้แม่นยำอย่างป๋าเหนาะท่านว่า ท่านเองก็เคยให้หมอดูอีทีทำนาย แม่นมาก "ขนาดเงินกระเป๋าผม ยังทายได้เลยว่า มีใบพัน ใบห้าร้อย ใบร้อยกี่ใบๆ และแต่ละใบเลขอะไร" แล้วท่านเล่าต่อ หมอเขาก็เตือนว่า ระวังจะถูกหลักหลัง ดวงทำบุญคนไม่ขึ้น หมอยังบอกว่าใครควรคบไม่ควรคบ
ถึงตรงนี้เสียงนักข่าวแทรกขึ้นว่า "แล้วหมอบอกหรือเปล่าว่าคนหน้าเหลี่ยมไม่ให้คบ" ป๋าท่านก็บอกว่าไม่เอาแล้วๆ อย่าถามมาก อะไรประมาณนั้นหมอดูที่ทายแม่นยังกับตาเห็น มีมาทุกยุคทุกสมัย แต่ส่วนมากทายอดีตและปัจจุบันค่อนข้างแม่น แต่ทายอนาคตไม่ค่อยแม่น
นานๆ จะทายอดีตค่อนแม่นยำ ดังกรณีซินแส มองหน้าพระหนุ่มสองรูปกำลังเดินบิณฑบาตอยู่ แล้วก็หัวเราะชอบใจ พระหนุ่มสองรูปถามว่า หัวเราะอะไร ซินแสตอบว่า "ลื้อสองคงนี้จะได้เป็นพระเจ้าแผ่งลิง (แผ่นดิน)"
แล้วก็หัวเราะเห็นฟันเหลืองคราวนี้ พระคุณเจ้าทั้งสองรูปหัวเราะบ้าง ดังกว่าเสียงของซินแส ไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้อย่างไร สองคนเป็นพระเจ้าแผ่นดินพร้อมกัน! ถ้าซินแสแกมีอายุยืนยาวจนได้เห็นว่าอดีตพระหนุ่มสองรูปนั้นได้เป็นพระเจ้าแผ่นดินจริง คือ พระสินได้เป็นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช พระทองด้วงได้เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแกก็คงหัวร่อชอบใจที่แกพยากรณ์แม่นจริงๆ ทำไมการพยากรณ์อดีตจึงแม่น พยากรณ์อนาคตไม่แม่นตอบง่ายนิดเดียว
เพราะชีวิตคนมิได้ขึ้นอยู่กับโหราศาสตร์เป็นเงื่อนไขอย่างเดียว มันย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามเงื่อนไขปัจจัยอีกมากมาย อดีตนั้น "นิ่ง" แล้ว ไม่มีเงื่อนไขอะไรมาผลักดันให้เป็นอื่นได้ เพราะฉะนั้น การทำนายทายทักจึงมักจะตรง แต่ปัจจุบันและอนาคต มันยังเคลื่อนไหวเพราะเหตุปัจจัยอีกหลายอย่าง ยังไม่นิ่ง เงื่อนไขที่สำคัญที่สุดคือ "กรรม" (การกระทำ) ของคนๆ นั้นอง
เขาทำทั้งกรรมดีและกรรม ไม่ดีคละกันไป สิ่งเหล่านี้แหละมีแนวโน้มจะให้ผลในอนาคต ไม่ว่าดี หรือไม่ดี พูดอีกนัยหนึ่ง เราเป็นผู้กำหนดอนาคตเราเอง ถ้าต้องการให้ชีวิตเป็นไปอย่างใด ก็ต้องสร้างเงื่อนไขที่ดีๆ ไว้ให้มาก แล้วอนาคตจะไปดีเอง ตรงข้ามถ้าสร้างแต่เงื่อนไขไม่ดี อนาคตก็เป็นไปตามนั้น ลองฟังนิทานชาดกนี้ดู พระราชาสองเมืองทำสงครามกัน ผัดกันแพ้ผลัดกันชนะ ถึงฤดูฝนก็หยุดพักสิ้นฤดูฝนก็รบใหม่ เป็นอย่างนี้มานาน
จนมีคนไปถามฤๅษีว่า พระราชาองค์ไหนจะชนะ ฤๅษีก็ไปถามพระอินทร์อีกต่อ พระอินทร์บอกว่าพระราชาเมือง ก.จะชนะ เมือง ข.จะพ่ายแพ้ ข่าวนี้ก็ไปเข้าพระกรรณของพระราชาทั้งสององค์ที่ได้รับคำทำนายว่าจะชนะ ก็ดีใจ ประมาท เลี้ยงฉลองกันมโหฬารตั้งแต่ยังไม่รบ ไม่ฝึกปรือกองทัพให้พร้อม สบายใจว่าจะชนะแน่ ส่วนพระราชาที่หมอทำนายว่าจะแพ้ ก็ไม่ยอมถอดใจ ตั้งหน้าตั้งตาฝึกปรือกองทัพอย่างเข้มงวด วางแผนรุกแผนรับไว้อย่างพร้อมสรรพ เมื่อถึงคราวรบจริง เรื่องก็กลับตาลปัตร ฝ่ายที่ว่าจะชนะ
ก็ถูกตีกระจุย ฝ่ายที่ว่าจะแพ้ ก็กำชัยชนะไว้ได้ พระราชาองค์ที่ฤๅษีว่าจะชนะ จึงไปต่อว่าฤๅษีหาว่าทำนายส่งเดช ฤๅษีก็หน้าแตกไปตามระเบียบ จึงไปต่อว่าพระอินทร์หาว่าทายซี้ซั้ว ทำให้แกผู้นำคำทำนายไปเผยแพร่เสียหน้า พระอินทร์กล่าวว่า "ไม่ผิดดอก ถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของมัน พระราชา ก.จะชนะแน่นอน แต่บังเอิญว่ามีเงื่อนไขใหม่เข้ามาเกี่ยวข้องคือ
ความพากเพียรพยายามฝึกฝนฝึกปรือกองทัพของพระราชาเมือง ข. การณ์จึงกลายเป็นตรงกันข้าม" แล้วพระอินทร์จึงกล่าวปรัชญาว่า"คนที่พยายามจนถึงที่สุดแล้ว แม้เทวดาก็กีดกันไม่ได้" อีกเรื่องหนึ่งคือเรื่องของเหลียวฝาน ที่มิสโจ แปลไว้ในหนังสือ โอวาทสี่ของเหลี่ยวฝาน ที่พิมพ์เผยแพร่มาหลายครั้งแล้ว เหลี่ยวฝานเดิมชื่อเสวียห่าย ได้พบผู้เฒ่าข่ง ผู้เฒ่าทำนายว่าจะได้เป็นขุนนาง ปีไหนจะเป็นอย่างไรบอกไว้หมด
และว่าท่านเหลี่ยวฝานจะไม่มีบุตร และจะตายเมื่ออายุได้ 53 ปี คำพยากรณ์ของท่านผู้เฒ่า แม่นยำมาตลอด จนท่านคิดว่าชะตาชีวิตคนเราถูกฟ้าดินกำหนดมาแล้ว ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ เลยไม่คิดที่จะขวนขวายพยายามต่อไป ปล่อยให้เป็นไปตามฟ้าลิขิต ต่อมาท่านได้พบพระเถระนาม ฮวิ๋นกุ ท่านได้สอนว่า ชะตาชีวิตเป็นสิ่งไม่แน่นอน อนาคตเราต้องสร้างเอง คนทำดีชะตาก็ดี ทำชั่วชะตาก็ชั่ว
เมื่อต้องการอนาคตดี ต้องทำดี ถ้าประกอบแต่ความไม่ดี แม้ชีวิตดีมาแล้วก็กลายเป็นร้ายได้ เหลี่ยวฝานได้เล่าคำทำนายของท่านผู้เฒ่าให้พระเถระฟัง ว่าที่ท่านทำนายไว้ถูกต้องแม่นยำมาตลอด ยังเหลือแต่สองข้อสุดท้าย คือจะไม่มีบุตร และสิ้นชีวิตเมื่ออายุ 50 พระเถระกล่าวว่า ให้ตั้งปณิธานว่าจะทำดีให้มาก สั่งสมบารมีให้มาก ไม่ยอมตนอยู่ในอิทธิพลของคำพยากรณ์ต่อไป บุญกุศลใดที่ทำด้วยความจริงใจ บริสุทธิ์ใจ แม้กระทำครั้งเดียว ก็เท่ากับกระทำหมื่นครั้งทีเดียว ท่านก็เชื่อพระเถระ ตั้งหน้าทำแต่ความดีงาม สำรวจความดีความชั่วของตนเองว่า วันหนึ่งๆทำความชั่วอะไรบ้าง ความดีอะไรบ้าง
แล้วพยายามลบความชั่วด้วยความดีเรื่อยๆ จนมีความดีเพิ่มมากขึ้น แล้วท่านก็ชนะชะตาชีวิต คือได้บุตรชายคนหนึ่ง เมื่อถึงอายุ 50 ปี ก็มิได้ตายดังคำทำนายของผู้เฒ่าข่ง อยู่มาถึงอายุ 69 ปี ท่านจึงแน่ใจว่า คนเราถ้าไม่ขวนขวายพยายาม ปล่อยชีวิตไปตามยถากรรม ก็ตกอยู่ใต้อิทธิพลของฟ้าดิน แต่กรรมเท่านั้นที่เป็นตัวกำหนดอย่างแท้จริง นั่นคือเราต้องสร้างอนาคตของเราเอง คนที่พยายามพึ่งตัวเองด้วยการกระทำแต่ความดีถึงที่สุดแล้ว ย่อมอยู่เหนือโชคชะตา ถ้าใครคิดว่าชีวิตถูกลิขิตมาอย่างใดก็ย่อมเป็นอย่างนั้น แก้ไขไม่ได้เลย ผู้นั้นถึงจะเป็นคนคงแก่เรียนเพียงใด ก็นับว่าโง่อยู่นั้นเอง

Friday, January 11, 2008

ลาวเปี๊ยนไป๋ นศ.สาวเอาอย่างรัดติ้วโชว์ตู้ม


ภาพจากแฟ้ม-- น้องๆ จากวิทยาลัยเอกชนแห่งหนึ่งกำลังฝึกซ้อมเตรียมการแสดงเต้นรำที่ลานวัดพระธาตุหลวง ปัจจุบันนักศึกษาหญิงกล้าเปิดเผย กล้าแสดงออกมากขึ้น
สื่อของทางการลาวสุดทน ออกสับแหลกนักเรียนนักศึกษาที่ "หลงผิด" พากันแต่งเนื้อแต่งตัวประหลาดๆ ไปเรียนหนังสือโดยคิดว่าตัวเองทันสมัย ทั้งๆ ที่สิ่งที่แสดงออกมาสะท้อนจิตใจการเป็นทาสตะวันตก ส่วนเมืองหลวงพระบางนั้น องค์การยุวชนที่นั่นได้ออกเป็นระเบียบปฏิบัติทางวัฒนธรรม พร้อมข้อห้ามไม่ให้นักเรียนนักศึกษาที่โกรกผมสี สวมกางเกงยีนส์ หรือสวมเสื้อชายสั้นเอวลอย นุ่งเข้าวัด กับสถานที่เคารพบูชาแห่งต่างๆ ทั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งในความพยายามที่จะอนุรักษ์วัฒนธรรมของชาติ สำหรับนครหลวงเวียงจันทน์ อิทธิพลตะวันตกแพร่ลามอย่างกว้างขวาง เยาวชนจำนวนหนึ่งได้เริ่มลอกเลียนแบบ โดยหลงเชื่อว่าเป็นความเท่ นักศึกษาชายที่เคยแต่งกายสุภาพเรียบร้อยถูกต้องตามแบบแผนวัฒนธรรม มีจำนวนมากเริ่มเปลี่ยนไปเป็นสวมเสื้อเปิดหน้าอก ทำผมทรงโมฮ๊อก ชอบเอาหนังสือยัดเข้าประเป๋ากางเกง สำหรับนักศึกษาหญิงยิ่งหนักกว่านั้น..

ภาพที่สื่อของลาวใช้ประกอบข่าว "รัดติ้วโชว์ตู้ม"
"อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตกภายนอกได้แผ่ลามเข้ามาอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นจึงทำให้นักเรียนนักศึกษา เช่นเดียวกันกับเยาวชนวัยหนุ่มสาวของพวกเราจำนวนหนึ่งหลงผิด ด้วยการลอกเลียนแบบ ดังพวกเราจะเห็นมีนักเรียนนักศึกษาจำนวนหนึ่งแต่งตัวนำสมัยไป
โรงเรียน.." หนังสือพิมพ์เวียงจันทน์ใหม่กล่าว
เยาวชน นักเรียนนักศึกษาจำนวนมากทุกวันนี้ได้พากัน เช่น โกรกผมให้เป็นสีแดงหรือเป็นผมสีทอง ไว้เล็บยาว ทาเล็บเป็นสีต่างๆ หลายคนเพ้นท์ให้เป็นลายดอกต่างๆมากมายด้วยลวดลาย และหลายคน "ตัดเสื้อรัดรูปทำให้เห็นรูปทรงของร่างกายอย่างจะแจ้ง"
นักศึกษาหญิงจำนวนมากเริ่มสวมผ้าซิ่นสั้นเต่อขึ้น ตีนจกถูกดัดแปลงให้เหลือเพียงนิดเดียว ส่วนกระเป๋าที่สะพายทุกวันนั้นก็ "แยกไม่ออกว่าเป็นกระเป๋าใส่หนังสือหรือกระเป๋าสำหรับไปจ่ายตลาด" คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์ของทางการนครหลวงเวียงจันทน์กล่าว
"ซ้ำร้ายไปกว่านั้น สาวๆ บางคนยังสวมปลอกขา (แบบนักเรียนในญี่ปุ่น) โดยคิดว่าเป็นสิ่งที่สวยงาม.. ทราบหรือไม่ว่าโดยธาตุแท้แล้วมันคืออะไร?" คอลัมนิสต์รายเดียวกันตั้งคำถาม
ส่วนนักศึกษาชายก็ "ล้ำสมัย" ไม่ได้น้อยไปกว่ากัน ผมเผ้าจากที่เคยตัดเรียบร้อย หวีให้เป็นระเบียบ แต่ "เดี๋ยวนี้บางคนกำลังเริ่มทำผมให้ยุ่งๆ พองๆ บางคนทำผมเป็นสันขึ้นเหมือนนกหัวขวาน สวมเสื้อแผ่หน้าอก ยัดสมุดเล่มเดียวใส่กระเป๋ากางเกงทั้งปีทั้งชาติ"

บัณฑิต มช. มหาวิทยาลัยแห่งชาตินครหลวงเวียงจันทน์ กลุ่มนี้ทั้งหล่อทั้งสวยทั้งเก่ง

สื่อของทางการยังกล่าวอีกว่า ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์ได้ชี้ให้เห็นว่าความทันสมัยหรือนำสมัยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการแต่งกาย ตรงกันข้ามจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถฉลาดหลักแหลม มีความตื่นตัวต่อทุกสภาพการณ์ในสภาพแวดล้อมสังคม พร้อมทั้งได้แนะนำให้นักเรียนนักศึกษาและเยาวชนของชาติได้นำแง่คิดนี้ไปพิจารณา

เวียงจันทน์ใหม่กล่าวอีกว่า แต่ดั้งแต่เดิมนั้นนักเรียนนักศึกษาของลาวเป็นกลุ่มที่เข้มงวดกวดขันตัวเองมากที่สุดให้ถูกต้องตามระเบียบวินัยของโรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่สังกัด ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายหรือการไว้ผม เล็บเท้าและเล็บมือ ซึ่งต้องตัดสั้นให้มีความสวยงาม รักษาความสะอาดง่าย

"ส่วนเครื่องแต่งกายนั้นบางคนแม้ว่าจะเก่าแต่ก็สะอาด สำหรับการเดินทางไปเรียนนั้น หากอยู่ใกล้ก็จะเดินไป ถ้าอยู่ไกลก็ปั่นจักรยาน หรือขอไปกับคนอื่นด้วยก็ได้”

สวยได้โดยไม่ต้องแต่งรัดติ้ว นักศึกษาจำนวนมากสมัครเข้าประกวดมิสอาภรณ์เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งเป็นการประกวดที่เน้นเรื่องการแต่งกายของหญิงสาว
"พวกที่แต่งตัวทันสมัยทุกวันนี้ ผลการเรียนจะเป็นอย่างไรต้องขอให้มหาชนติดตามตีราคากันเอาเอง" สื่อของทางการกล่าว
เรื่องนี้ขึ้นมาวิพากษ์หลายครั้งในแวดวงสื่อ หลายฝ่ายชี้ให้เห็นแง่มุมของปัญหาในเชิงสังคมและวัฒนธรรม หลายภาคส่วนแสดงความห่วงใยต่อเยาวชนที่รับเอาวัฒนธรรมต่างแดนเข้าไปโดยไม่รู้จักจำแนก
การใช้ชีวิตอย่างฟุ้งเฟ้อของนักเรียนนักศึกษา การใฝ่หาวัตถุที่ฟุ่มเฟือยต่างๆ ได้นำไปสู่ปัญหาสังคม และเกิดปรากฏการณ์ย่อท้อต่างๆ รวมทั้งการค้าประเวณีด้วย
แต่ในขณะเดียวกันหลายท้องถิ่นได้เข้มงวดกับเรื่องระเบียบวินัยของักเรียนนักศึกษามากขึ้น

นักศึกษาสาว 2 คนนี้กำลังใจจดใจจ่ออยู่บนบอร์ดแสดงวิชาเรียนช่วงฤดูร้อนที่บริเวณหอพักมหาวิทยาลัยสุพานุวง เมืองหลวงพระบางได้ออกกฎห้ามนักศึกษาที่แต่งกายไม่เรียบร้อยเข้าไปในสถานที่หลายแห่ง
ตามรายงานของหนังสือพิมพ์ "ประชาชน" รายวันของพรรคประชาชนปฏิวัติลาว สหพันธ์เยาวชนเมืองหลวงพระบาง ซึ่งเป็นองค์กรมหาชนของพรรคและรัฐบาลได้ออกข้อปฏิบัติหลายอย่างเพื่ออนุรักษ์พื้นฐานทางวัฒนธรรมอันดีงามของชาติและของชาวเมือง รวมทั้งฮีตคองประเพณีต่างๆ ด้วย
ข้อปฏิบัติที่ออกมาเมื่อต้นสัปดาห์นี้ยังได้กำหนดข้อห้ามสำหรับนักเรียนนักศึกษาหลายประการ
ทางการได้ห้ามเยาวชนหนุ่มสาวที่ย้อมผมสีทอง สวมกางเกง กระโปรง หรือสวมเสื้อลอยชายโชว์เอวหรือส่วนหน้าท้อง เข้าไปในสถานที่อันเป็นที่สักการบูชาหรือไปร่วมงานบุญพิธีต่างๆ อีกด้วย.

ภัยที่ผู้หญิงต้องระวัง

รวบแก๊งรถตู้ภัยสังคมฉุดสาวโรงงานที่ยืนรอรถไปทำงานขึ้นรถปลดทรัพย์ บังคับกดเอทีเอ็ม และรุมข่มขืนยับบนรถรวมทั้งถ่ายคลิปวีดีโอแบล็กเมล์เหยื่อ เพื่อไม่ให้แจ้งความ ตำรวจส่งชุดสืบสวนแกะรอยคนร้ายจนสามารถรวบได้ยกแก๊งภายใน 1 อาทิตย์ อย่างไรก็ตามขอให้สาวผู้เสียหายรายอื่น ที่ยังไม่ได้แจ้งความรีบมาแจ้งความด้วย

ตำรวจโชว์ฝีมือรวบแก๊งรถตู้ภัยสังคมรายนี้เปิดเผยขึ้น เมื่อวันที่ 9 ม.ค.ที่ผ่านมา เวลา 13.30 น. ที่หน้าสถานีตำรวจภูธรแหลมฉบัง อ.ศรีราชา จ.ชลบุรี พ.ต.อ.ธน ยุติธรรมดำรง รอง ผบก..ภ.จว.ชลบุรี และ พ.ต.อ.สีหศักดิ์ สร้อยศรี ผกก.สภ.แหลมฉบัง ได้ร่วมกันแถลงข่าวการจับกุมแก๊งรถตู้โฉด จำนวน 4 คน ประกอบด้วยนายเสรี ภิรมย์ปั่น อายุ 23 ปี อยู่บ้านเลขที่ 100/15 หมู่ 8 ต.ท่าบุญมี อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี นายประเสริฐ แจ่มใส อายุ 22 ปี อยู่บ้านเลขที่ 23 หมู่ 14 ต.เกาะจันทร์ อ.เกาะจันทร์ จ.ชลบุรี นายอาร์ (นามสมมุติ) อายุ 17 ปี มีบ้านพักอยู่ จ.ชลบุรี และนายเก่ง (นามสมมุติ) อายุ 16 ปี มีบ้านพักอยู่ จ.นนทบุรี พร้อมของกลางเป็นรถยนต์ตู้โตโยต้า สีเขียวอ่อน หมายเลขทะเบียน นค-2359 ชลบุรี, อาวุธมีด 1 เล่ม และโทรศัพท์มือถือ โดยที่ทาง สภ.แหลมฉบังได้รับแจ้งความร้องทุกข์จากพนักงานสาวของโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมแหลมฉบังว่า มีคนร้ายเป็นแก๊งรถตู้ฉุดขึ้นรถแล้วปลดทรัพย์สินไป และยังรุมข่มขืนนำโทรศัพท์มือถือถ่ายคลิป และบังคับให้บอกรหัสเอทีเอ็ม ไปกดเงินจนเกลี้ยง ทางชุดสืบสวน สภ.แหลมฉบัง จึงได้ออกทำการสืบสวนหาตัวคนร้ายจนสามารถได้เบาะแสและจับกุมตัวได้ในเวลาแค่เพียง 1 อาทิตย์เท่านั้น

เจ้าหน้าที่ตำรวจแถลงต่อไปว่า สำหรับพฤติกรรมของคนร้ายแก๊งนี้ก่อนก่อเหตุได้ทำทีเป็นคนขับรถตู้รับส่งพนักงานในโรงงานในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมของชลบุรี ออกตระเวนหาเหยื่อซึ่งเป็นหญิงสาวโรงงานที่ยืนรอรถประจำทางไปทำงานในช่วงเวลาเช้า เมื่อพบว่าหน้าตาดีและสวมใส่เครื่องประดับมีราคาก็จะร่วมกันใช้กำลังฉุดกระชากขึ้นรถตู้และใช้หมวกปิดหน้าตาของเหยื่อ ก่อนทำการปลดทรัพย์สินที่ติดตัวมาพร้อมทั้งบังคับให้บอกรหัสบัตรเอทีเอ็ม และนำไปกดเงิน จากนั้นก็นำตัวขึ้นรถขับรถไปเรื่อยๆ และระหว่างทางก็ผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนและยังถ่ายคลิปวีดีโอ ไว้เพื่อขู่บังคับไม่ให้เหยื่อแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนปล่อยตัวลงกลางทาง
เมื่อได้ทรัพย์สินก็จะนำไปซื้อยาเสพติดมาเสพและเที่ยวเตร่ตามสถานบริการ เมื่อหมดเงินก็จะก่อเหตุอีก ซึ่งทางตำรวจ สภ.แหลมฉบัง ได้พยายามเร่งติดตามหาตัวคนร้ายแก๊งนี้จนกระทั่งพบจากกล้องทีวีวงจรปิดร้านทองแห่งหนึ่งที่คนร้ายนำบัตรเครดิตของเหยื่อลงไปซื้อทองคำรูปพรรณในพื้นที่ สภ.แหลมฉบัง แล้วนำไปขยายความชัดของภาพถึงบริษัทกันตนาที่กรุงเทพฯ จนพบว่ารถตู้ที่คนร้ายใช้ก่อเหตุไฟเลี้ยวด้านหน้าฝั่งคนขับแตก จึงให้ตำรวจในพื้นที่คอยสอดส่องรถตู้ในลักษณะดังกล่าว

กระทั่งพบกำลังวิ่งวนเวียนในแถบตลาดสี่มุมเมือง แหลมฉบัง จึงเข้าตรวจค้นจนพบว่าเป็นแก๊งคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว โดยผู้ต้องหาให้การสารภาพว่าในช่วงเดือนธันวาคม 2550 ได้ก่อเหตุในพื้นที่อำเภอศรีราชา 2 ครั้งและอำเภอบางละมุง 1 ครั้ง ทุกครั้งจะปลดทรัพย์สินของเหยื่อและรุมข่มขืนถ่ายคลิปไว้เพื่อให้เหยื่อไม่กล้าแจ้งความเพราะอับอาย และจะเลือกลงมือกับหญิงสาวหน้าตาดีที่มีทรัพย์สินติดตัวเป็นทองรูปพรรณสวมใส่อยู่ และเป็นสาวโรงงานที่ยืนรอรถตู้ประจำทางไปทำงานโรงานในช่วงเช้า ซึ่งเห็นว่าทำแล้วรายได้ดีเพราะเหยื่อบางคนมีเงินฝากหลายหมื่นบาท ซึ่งได้จากการนำบัตร เอทีเอ็มของเหยื่อไปกดตามตู้ต่างๆ

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเชื่อว่า คนร้ายแก๊งนี้น่าจะก่อเหตุมาหลายสิบครั้งแล้ว เนื่องจากการก่อเหตุแต่ละครั้งสร้างความอับอายแก่ผู้เสียหายที่เป็นหญิงสาว ทำให้เชื่อว่ายังมีผู้เสียหายที่เป็นหญิงไม่กล้ามาแจ้งความร้องทุกข์กับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายราย จึงอยากให้ผู้เสียหายที่ถูกก่อเหตุลักษณะนี้มาแล้วรีบมาแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบสวนเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายกับผู้ต้องหาทั้งหมด เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป

ที่มา บ้านเมือง

Thursday, January 10, 2008

อัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน 10 มกราคม 2551

จั บ ก ร ะ แ ส ต ล า ด

ดอลลาร์ สหรัฐ 33.43 บาท
เยน ญี่ปุ่น(100) 30.70 บาท
ยูโร 49.25 บาท
ปอนด์ อังกฤษ 66.03 บาท
หยวน จีน 4.62 บาท
ดอลลาร์ ฮ่องกง 4.31 บาท
ดอลลาร์ ออสเตรเลีย 29.42 บาท
ดอลลาร์ สิงค์โปร์ 23.50 บาท
เบนซิน 95 33.69 บาท
เบนซิน 91 32.39 บาท
น้ำมันดีเชล 29.74 บาท


ราคาทองคำ รับซื้อ ขายออก
ทองคำแท่ง 13,750 บาท 13,850 บาท
ทองรูปพรรณ 13,553.04 บาท 14,250 บาท

Wednesday, January 9, 2008

"บัวหลวง" เล็งโขกค่าธรรมเนียม "เอทีเอ็ม" รับปีใหม่ กดข้ามแบงก์เจอทันที 5 บ.

3 มกราคม 2551
แบงก์กรุงเทพใจกล้า ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมกดเอทีเอ็มข้ามธนาคารเกินกว่า 4 ครั้งต่อเดือน เป็นครั้งละ 5 บาทต่อรายการ จากเดิม 3 บาท และเก็บค่าธรรมเนียมกดเอทีเอ็มข้ามธนาคารข้ามเขตในต่างจังหวัด เป็น 25 บาทจาก 20 บาท ขณะที่แบงก์อื่นไม่ขยับ ด้านผู้บริหารธปท.ยอมรับคุมไม่ได้ เหตุต้นทุนการดำเนินธุรกิจแต่ละแห่งต่างกัน เผยขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างวางแผนที่จะรื้อระบบค่าธรรมเนียมแบงก์ทั้งหมด ให้เหมาะสมกับต้นทุนที่แท้จริง

แหล่งข่าวจากธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เปิดเผยว่า ตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2550 ที่ผ่านมา ธนาคารกรุงเทพ จำกัด(มหาชน) ได้เตรียมปรับขึ้นค่าธรรมเนียมการให้บริการถอนเงินข้ามธนาคารผ่านเอทีเอ็มระหว่างธนาคารเพิ่มขึ้นเป็นครั้งละ 5 บาทต่อรายการ จากตามปกติ หากประชาชนผู้ถือบัตรเอทีเอ็ม กดเงินจากเอทีเอ็มของต่างธนาคารในแต่ละเดือนเกินกว่า 4 ครั้ง ครั้งต่อไปจะเก็บค่าบริการครั้งละ 3 บาทต่อรายการ และปรับเพิ่มค่าบริการการกดเงินข้ามธนาคารผ่านเอทีเอ็มในต่างจังหวัด จากเดิมครั้งละ 20 บาทต่อรายการ เป็น 25 บาท โดยในขณะนี้พบว่ามีเพียงธนาคารเดียวที่ปรับเพิ่มค่าธรรมเนียมดังกล่าว

แหล่งข่าวเปิดเผยว่า การปรับ ขึ้นค่าธรรมเนียมจาก 3 บาทเป็น 5 บาท หากลูกค้าเบิกถอนเงินผ่านเครื่องเอทีเอ็มของธนาคารอื่นเกิน 4 ครั้งนั้น จะทำให้ผู้ถือบัตรเอทีเอ็มของธนาคารกรุงเทพจะต้องเสีย ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 2 บาทต่อรายการ ซึ่งน่าจะกระทบต่อลูกค้าจำนวน มาก เนื่องจากธนาคารกรุงเทพเป็นธนาคารขนาดใหญ่มีลูกค้าผู้บัตร เอทีเอ็มมากกว่า 5 ล้านบัตร และมีบัตรเดบิตอีกประมาณ 1.4-1.5 ล้านบัตร

ด้านผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ กล่าวยอมรับว่า การปรับเพิ่มอีก 2 บาท และขยายเวลาให้อีก 1 วันนั้น เพราะลูกค้าของธนาคารมีมากและใช้บริการธนาคารอื่นประมาณ 70-80% ทำให้ต้องมีค่าใช้จ่ายในการชำระเงินกันสูง และการปรับขึ้นมา ก็น่าจะทำให้ลดภาระและทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยแค่ 30-50 ล้านบาท

เมื่อผู้สื่อข่าวได้สอบถามไปยังธนาคารอื่น เช่น ธนาคารกสิกรไทย, ธนาคารกรุงไทย, ธนาคารกรุงศรีอยุธยา, ธนาคารไทยธนาคาร และธนาคารไทยพาณิชย์ พบว่ายังคงเก็บค่าบริการการกดเอทีเอ็มต่างธนาคารทั้งในเขตเดียวกัน และข้ามเขตในต่างจังหวัด สำหรับบัตรเอทีเอ็มของธนาคารในอัตราเดิม ยังไม่ได้ปรับขึ้นค่าบริการแต่อย่างใด

ล่าสุด ผู้สื่อข่าวได้สอบถามฝ่ายระบบการชำระเงินของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ซึ่งเป็นผู้ดูแลระบบการชำระเงินอิเล็กทรอนิกส์ ถึงการปรับขึ้นค่าบริการดังกล่าว ซึ่งฝ่ายชำระเงิน ธปท.ชี้แจงว่า การเก็บค่าบริการการกดเอทีเอ็มข้ามธนาคารนั้น ธปท.ไม่ได้มีการกำหนดค่าบริการ และการขึ้นค่าบริการดังกล่าวนั้น ไม่จำเป็นต้องขอมายัง ธปท.ก่อนการปรับขึ้น เพียงแต่จะต้องประกาศการปรับขึ้นค่าธรรมเนียมดังกล่าวให้ลูกค้าทราบอย่างน้อยที่สุด 30 วัน โดยแปะประกาศการปรับขึ้นไว้ในที่เห็นชัดเจน ที่บริเวณสาขาของธนาคารพาณิชย์นั้นๆ

อย่างไรก็ตาม ในส่วนของธนาคารกรุงเทพนั้น ยืนยันว่าได้มีการแปะประกาศดังกล่าวให้ลูกค้าทราบแล้ว ก่อนการปรับขึ้น 30 วัน โดยเป็นการประกาศที่สำนักงานใหญ่ของธนาคารกรุงเทพ และสาขาสำคัญๆ ซึ่งหากเป็นไปตามเกณฑ์ที่ ธปท.กำหนด การปรับขึ้นก็เป็นเรื่องของแต่ละธนาคารที่สามารถทำได้ เพราะอาจจะมีความจำเป็นทางต้นทุนที่แตกต่างกัน โดยเฉพาะธนาคารกรุงเทพ เป็นธนาคารขนาดใหญ่ มีลูกค้าที่ใช้บัตรเอทีเอ็มมากที่สุดเป็นอันดับแรก หากลูกค้านำเอทีเอ็มของธนาคารไปกดที่ตู้เอทีเอ็มของธนาคารอื่น ธนาคารกรุงเทพจะต้องเสียค่าใช้จ่ายให้กับธนาคารที่ให้บริการ ซึ่งอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีการปรับขึ้นค่าบริการ เพื่อลดค่าใช้จ่ายและลดปริมาณการกดเอทีเอ็มต่างธนาคารของลูกค้าไปในตัวด้วย

นายฉิม ตันติยาสวัสดิกุล ผู้ช่วยผู้ว่าการสายระบบข้อสนเทศ ธปท. กล่าวเพิ่มเติมว่า ธปท.อยู่ระหว่างการจัดทำแผนพัฒนาระบบชำระเงินฉบับใหม่ที่จะเริ่มต้นในปี 2553 ซึ่งจะเป็นการรื้อระบบอัตราค่าธรรมเนียมของระบบธนาคารพาณิชย์ที่เกี่ยวกับการชำระเงิน และอัตราค่าธรรมเนียมส่วนอื่น ที่ฝ่ายนโยบายสถาบันการเงินดูแลอยู่ เพื่อที่จะทำให้ระบบการจัดเก็บค่าธรรมเนียมของธนาคารพาณิชย์อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับต้นทุนของการให้บริการจริง โดยในเบื้องต้น ธปท.ต้องการให้เกิดการแข่งขันในการเก็บอัตราค่าธรรมเนียมไม่ให้ฮั้วกัน หรือมีการผูกขาดจัดเก็บในอัตราเดียวกันทุกธนาคาร เพราะทำให้ประชาชนไม่มีทางเลือกและเสียประโยชน์

อัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน 9 มกราคม 2551

จั บ ก ร ะ แ ส ต ล า ด

ดอลลาร์ สหรัฐ 33.50 บาท
เยน ญี่ปุ่น(100) 30.70 บาท
ยูโร 49.44 บาท
ปอนด์ อังกฤษ 66.14 บาท
หยวน จีน 4.62 บาท
ดอลลาร์ ฮ่องกง 4.31 บาท
ดอลลาร์ ออสเตรเลีย 29.37 บาท
ดอลลาร์ สิงค์โปร์ 23.50 บาท
เบนซิน 95 33.69 บาท
เบนซิน 91 32.39 บาท
น้ำมันดีเชล 29.74 บาท


ราคาทองคำ รับซื้อ ขายออก
ทองคำแท่ง 13,450 บาท 13,550 บาท
ทองรูปพรรณ 13,249.84 บาท 13,950 บาท

Man………………

วงการวิทยาศาสตร์ค้นพบแร่ธาตุชนิดหนึ่งตั้งชื่อว่า MAN (ผู้ชาย)และได้สรุปลักษณะเฉพาะของธาตุนี้ออกมาดังนี้

ชื่อธาตุ : MAN
ลักษณะทั่วไป : มีความยาวโดยเฉลี่ย 170 ซ.ม แต่อาจแปรเปลี่ยนได้จาก 150-200 แล้วแต่ว่าพบในภาคใด

คุณสมบัติทางพันธุศาสตร์

1. เจริญเติบโตได้ดีในนิโคตินและแอลกอฮอล์
2. นิยมความรุนแรง
3. มีกลิ่นเหม็น ตามธรรมชาติ
4. เฉาง่าย หากไม่ได้รับการเอาอกเอาใจ
5. อยู่ไม่เป็นที่ หาตัวยาก
6. อาจเปลี่ยนไปได้หลายบุคลิก แล้วแต่สถานการณ์(ในทางภาษาศาตร์เรียกว่า 'กะล่อน' )
7. การตอบสนองช้า ทนต่อการเสียดสีได้ดี
8. ความจำสั้น จดจำเรื่องในอดีตไม่ค่อยได้

คุณสมบัติทางเคมี

1. มีสารประกอบใช้ทำยาระบาย และยาเบื่อได้ดี
2. ทำปฏิกิริยาอย่างรวดเร็วกับสิ่งสวยงามที่ผ่า นหน้า
3. เปลี่ยนได้หลายสีตามแต่ถิ่นที่อยู่อาศัย
4. คุณสมบัติเปลี่ยนรูปทรงได้เมื่อพบตระกูลใกล้เคียง

การทดสอบ

1. ตัดเนื้อเยื่อมาวิเคราะห์ พบว่าส่วนใบหน้ามีความหนามากว่าส่วนอื่นๆ
2. เมื่อสุ่มจากตัวอย่างทดลองเลี้ยงพบว่า ชอบเกาะยึดกันและกันมากกว่าจะเจริญเติบโตด้วยตัวเอง
3. มีปฏิกิริยาหวาดกลัวต่อสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า 'เมีย' แต่ถ้ามีพวกเดียวกันอาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง จะแสดงอาการต่อสู้ไม่ยอมแพ้เมียทันที
4. จะมีความสุขมาก เมื่อได้ส่งเสียงโอ้อวดสรรพคุณของตัวเอง
5. กล้ามเนื้อหัวใจไม่แข็งแรง จะอ่อนตัวพ่ายแพ้ทันที ที่ประสาทตาส่งสัณญาณภาพเพศตรงข้ามมาให้

ประโยชน์

1. สายพันธุ์ที่ดีหากนำมาไว้ในบ้าน เชื่อว่าจะทำให้ร่ำรวยเงินทอง แต่ไม่ค่อยพบในประเทศไทย
2. เป็นเพื่อนเล่นยามเหงา
3. เป็นยามเฝ้าบ้านที่ดี เอาไว้ป้องกันตัวก็ได้
4. เป็นพาหนะใช้แบกขนสัมภาระได้ดีในยา มช็อปปิ้ง

ข้อควรระวัง

1. ควรเลี้ยงด้วยความระมัดระวัง มิฉะนั้นอาจนอกลู่นอกทางได้
2. ไม่ควรให้อยู่ร่วมกันเป็นกลุ่ม เพราะจะยิ่งช่วยเร่งคุณสมบัติทางพันธุศาสตร์
3. ในตัวทดลองที่อายุมาก พบว่ามักมีอวัยวะลักษณะคล้ายงูยื่นออกมาจากศีรษะ และจะฉกอย่างว่องไวเมื่อมีสิ่งสวยงามอายุน้อยเดินผ่านมา
4. แพ้สารลลายบางชนิดได้แก่ คำพูดหวานๆ น้ำตา กิริยาออดอ้อนออเซาะ และสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า'พริตตี้'

Monday, January 7, 2008

ไขปริศนา 49 วัน ชีวิตหลังความตาย

มนุษย์และสัตว์มิได้สิ้นสุดที่ความตาย เพราะการ "ตาย" หมายถึง สภาพร่างกายที่ไม่สามารถให้บริการแก่จิตวิญญาณใช้งานต่อไปได้อีกวิญญาณยังคงอยู่ ถึงแม้ร่างกายจะหมดอายุขัยไปแล้ว ทั้งนี้สภาพการตายจะบ่งบอกให้รู้ว่าจิตวิญญาณนั ้นไปสุคติหรือลงสู่นรกภูมิ
1. ตอนตายใหม่ ถ้าหากสีหน้าปกติ ร่างกายอ่อนนิ่ม สีหน้าเหมือนคนมีชีวิตอยู่ เนื่องจากได้บรรลุธรรมดวงวิญญาณจะไปสู่สุคติ
2. ตอนตายใหม่ๆ หน้าตาซีดผาด เหมือนคนตกใจ แสดงว่าวิญญาณได้ตกสู่นรกแล้ว
3. ตอนตายใหม่ๆ ร่างกายแข็งทื่อ หน้าตาน่ากลัว เพราะความตกใจ บางคนจะกรีดร้องเสียงคล้ายสัตว์ คนเหล่านี้จะไปเกิดเป็นสัตว์ 4 ชนิดสังเกตได้จากตา หู จมูก ปาก ตาจะมีน้ำตาออก หูจะมีขี้หู จมูกจะมีน้ำมูก ปากจะมีน้ำลายฟูมปากเป็นทวารที่ไม่สะอาด 4 ช่องทางเมื่อจิตวิญญาณออกทางนี้จะเกิดเป็นสัตว์ 4 ประเภท
- ตาชอบดูสิ่งเหลวไหล ลุ่มหลงในรูปต่างๆ คนเหล่านี้เวลาใกล้ตายดวงตาจะเบิกกว้าง จะไปเกิดเป็นสัตว์ปีก (เกิดออกจากไข่)
- หูชอบฟังเรื่องเหลวไหล เรื่องซุบซิบนินทา คนเหล่านี้เวลาตายหูจะชันขึ้น จะไปเกิดเป็นสัตว์ที่เกิดจากครรภ์ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย
- จมูกชื่นชมกลิ่นคาวโลกีย์ เช่น เงินทอง สุรา นารี การพนันชื่อเสียงลาภยศ และค่านิยมที่ผิดศีลธรรม ฯลฯ จะไปเกิดเป็นแมลง มด ยุง แมลงวัน ฯลฯบาปหนักมาก วิญญาณจึงถูกตีเป็นเศษวิญญาณ
- ปาก ชอบพูดเรื่องเหลวไหล พูดนินทา พูดวิจารณ์ พูดกล่าวร้ายป้ายสี ด่าคำหยาบคาย คนเหล่านี้เวลาตาย ปากจะอ้าค้างอยู่ตลอดจะเกิดเป็นสัตว์น้ำไปอยู่ก ับรสชาติที่โสโครกและสกปรก เมื่อออกจากร่าง วิญญาณจะไปที่ไหน ?ดวงวิญญาณที่ออกจากร่างในตอนแรก จะวนเวียนอยู่บริเวณนั้นพอได้สติก็จะมีท่านมัจจุราชทำหน้าที่มานำเอาวิญญาณของมนุษย์หรือสัตว์ที่ชะตาถึงฆาต พาไปยังยมโลก เพื่อตรวจสอบบาปบุญความดีความชั่ว ในขณะที่มีชีวิตอยู่วิญญาณบาปจะถูกนำตัวส่งไปนรก 8 ขุมใหญ่ แต่ละขุมแบ่งย่อยขุมละ 36 แห่ง แต่ละแห่งมีการลงทัณฑ์และทรมานอีก 800 ด่านแต่ละด่านมีเครื่องทรมานนับไม่ถ้วนวิญญาณบางดวงอาจตกนรกทั ้ง 8 ขุมเลยก็มี โดยเฉพาะคนที่ทำกรรมชั่วมหันต์หรือเรียกว่า "อนันตริยกรรม"มีอยู่ 5 อย่าง คือ 1. ฆ่าพ่อ 2. ฆ่าแม่ 3.ฆ่าพระอรหันต์
4. ยุยงสงฆ์ให้แตกแยก
5. ทำร้ายพระพุทธเจ้าห้อเลื อ ด
หลังจากที่คนเราตายประมาณ 1-2วัน ปกติแล้ว เขาจะไม่รู้ว่าตัวเองตาย7วัน ให้หลังเขาจึงรู้ว่าตนเองตายแล้ว วิญญาณจะถูกกักบริเวณไว้ 49วัน เพื่อรอพิจารณาคดีในระหว่างนั้นผู้ตายก็กำลังรอบุญกุศลจากลูกหลาน ทางโลกที่กำลังง่วนอยู่กับงานศพเรามาดูปรากฏการณ์49 วัน ชีวิตหลังความตายขณะที่วิญญาณของผู้ตายออกจากร่าง ชีวิตหลังความตายก็เริ่มต้นเปิดฉากขึ้นในโลกที่ผู้ตายต้องเข้าไปเพียงลำพังเท่านั้นไม่มี สิ่งใดเลยที่สามารถเอาติดตัวจากโลกมนุษย์ได้เว้นเสียแต่บาปกับบุญเท่านั้นเจ็ดวันรอบแรกวิญญาณผู้ตายต้องเดินผ่านดงหมาป่าซึ่งมีฝูงหมาป่าดุร้ายเหมือนเสือขวางทางเมื่อวิญญาณบาปไปถึง ก็เกิดหวาดกลัวไม่กล้าเดินต่อไปฝูงหมาป่าเห็นดังนั้น ก็กระโจนเข้าขย้ำขบกัดวิญญาณบาปจนเลือดท่วมตัว กรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดทุกขเวทนาส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงดงหมาป่า ก็จะมีหมู่เทวะ ทูตคอยพิทักษ์คุ้มครอง พวกหมาป่าได้แต่นิ่งเฉยไม่กล้าทำอะไรจึงผ่านไปได้โดยปลอดภ ัย เจ็ดวันรอบที่ สองเมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านประตูผี เจ้าหน้าที่ผู้รักษาด่านเมื่อเห็นเป็นวิญญาณบาป ก็จะทุบตีอย่างไม่ปรานีและยังมีพวกเจ้ากรรมนายเวรพากันมาทวงหนี้เวลานั้นส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึงด่านประตูผีจะได้รับการต้อนรับและสามารถผ่านด่านนี้ไปโดยปลอดภัยเจ็ดวันรอบที่ สาม เมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงยมโลก ถ้าเป็นวิญญาณบาปก็จะถูกโซ่ตรวนไว้และถูกบังคับนำไปอยู่ตรงหน้าหอกระจกส่องกรรม ยามมีชีวิตทำชั่วอะไรภาพก็จะปรากฏขึ้นเองอย่างอัตโนมัติเสร็จแล้วก็จะถูกคุมตัวไปรับการพิจารณาโทษถึงวิญญาณบาปจะเริ่มสำนึกผิด ตอนนี้แต่ก็สายเสียแล้วส่วนวิญญาณผู้ประกอบกรรมดี เมื่อมาถึง จะได้รับการต้อนรับมีเจ้าหน้าที่พาไปท่องเที่ยวนรกขุมต่างๆและพาไปดูสภาพของบรรดาญาติพี่น้องที่ ทำบาป กำลังรอคอยการพิจารณาตัดสินความผิดเจ็ดวันรอบที่ สี่เมื่อมาถึงด่านภูเขากระดาษเงินกระดาษทอง การจะขึ้นไปบนภูเขาลูกนี้ยากลำบากมากกระดาษเหล่านี้ได้มาจากลูกหลานญาติพี่น้องในเมืองมนุษย์หลงงมงายเผาส่งไปให้ ทับถมกันจนเป็นภูเขาเลากาซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแม้ผู้ตายจะได้รับก็ไร้ประโยชน์เจ็ดวันรอบที่ ห้าวิญญาณผู้ตายมาถึงหอดูบ้านเดิม ได้เห็นลูกหลานคนในครอบครัวต่างไว้ทุกข์ด้วยความเศร้าโศกเสียใจกับการตายของตนถึงตอนนี้จึงได้รู้ว่าตนเองตายแล้ว ไม่อาจกลับบ้านได้อีก ได้แต่เสียใจอาลัยอาวรณ์เจ็ดวันรอบที่ หกเมื่อวิญญาณผู้ตายมาถึงด่านคุมบัญชียมบาลจะสั่งให้เจ้าหน้าที่ตรวจดูบาปบุญที่ผู้ตายได้สร้างสมตอนมีชีวิตหลังจากหักลบกันแล้ว ถ้าบุญมีมากกว่าบาปก็จะให้ไปเกิดยังสุคติภูมิถ้าบาปมีมากกว่าบุญ จะส่งไปยังนรกภูมิ รับทุกข์อย่างน่าเวทนาเจ็ดวันรอบที่ เจ็ด เมื่อวิญญาณผู้ตายไปถึงด่านตรวจสอบ ยมบาลก็จะสั่งเลขาให้ตรวจสอบดูว่าผู้ตายตอนมีชีวิตอยู่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือไม่ ถ้าได้ถือศีลกินเจละเว้นจากการฆ่าสัตว์ก็จักลหุโทษ ถ้ามัวหลงผิดฆ่าสัตว์เพื่อความสุขของปากท้องก็จะเพิ่มโทษเป็นเท่าตัว.ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็ขอให้ทุกคนในขณะมีชี วิตอยู่นั้นเร่งสะสมความดีกันให้มากๆ นรก-สวรรค์นั้น ไม่ใช่สิ่งลวงโลกตอนนี้ท่านอาจยังไม่เห็น แต่สักวันท่านก็ต้องเห็นกฎ แห่งกรรมนั้นเป็นเรื่องจริงขอให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างไม่ประมาท

Friday, January 4, 2008

อัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน 4 มกราคม 2551

จั บ ก ร ะ แ ส ต ล า ด
ดอลลาร์ สหรัฐ 33.88 บาท
เยน ญี่ปุ่น(100) 30.70 บาท
ยูโร 49.62 บาท
ปอนด์ อังกฤษ 67.79 บาท
หยวน จีน 4.64 บาท
ดอลลาร์ ฮ่องกง 4.35 บาท
ดอลลาร์ ออสเตรเลีย 29.78 บาท
ดอลลาร์ สิงค์โปร์ 23.51 บาท

เบนซิน 95 33.29 บาท
เบนซิน 91 31.99 บาท
น้ำมันดีเชล 29.74 บาท

ราคาทองคำ--- รับซื้อ--------- ขายออก
ทองคำแท่ง--13,200 บาท -----13,300 บาท
ทองรูปพรรณ--13,200 บาท ----13,007.28 บาท
New Honda Accoard
แอคคอร์ด ใหม่...เติบใหญ่ นิ่งขรึม

แม้ตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลางจะมีส่วนแบ่งยอดขายไม่สูงนัก เมื่อเปรียบกับตลาดรถยนต์รวม หรือเทียบกับพวก เก๋งคอมแพคต์ ,ซับ-คอมแพคต์ แต่กระนั้นคงปฏิเสธไม่ได้ว่า รถกลุ่มนี้ยังสำคัญในแง่ของการสร้างภาพลักษณ์ ทั้งการออกแบบให้หรูหรา-สปอร์ต สมรรถนะล้ำหน้า รวมถึงเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ๆ ซึ่งล้วนจะส่งผลกลับมายังรถยนต์รุ่นอื่นๆของค่าย นอกเหนือไปจากยอดขายที่เป็นประเด็นหลักในการดำเนินธุรกิจ

ดังนั้นใครมีทีเด็ด จุดเด่นจุดขายทางเทคโนโลยีใดๆ คงอัดกันมาให้เต็มที่ บนพื้นฐานราคาสมเหตุสมผล และมวยคู่เอกที่สู้กันได้อย่างสมน้ำสมเนื้อในตลาดรถยนต์นั่งขนาดกลางชั่วโมงนี้ คงต้องยกให้ โตโยต้า คัมรี่ กับ ฮอนด้า แอคคอร์ด
โตโยต้า คัมรี่ เปิดตัวไปตั้งแต่เดือนสิงหาคมปี 2549 ปัจจุบันทำยอดขายเฉลี่ยเดือนละ 1,000 กว่าคัน ส่วน แอคคอร์ด ใหม่ ได้การตอบรับดีเช่นกัน โดยงานมอเตอร์เอ็กซ์โปที่ผ่านมามียอดจองถึง 700 คัน และสิ้นปีนี้คาดว่ายอดจองคงทะลุ 2,500 คันแน่นอน ขณะเดียวกันประธาน ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย “เคนจิ โอตะกะ” ยังประกาศเสียงดังฟังชัด ในการเปิดตัวเมื่อปลายเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า รถธงเจเนอเรชั่น 8 ของค่าย คือรถที่ดีที่สุดในคลาส และสุดมั่นกับยอดขายเฉลี่ย 10,000 คันต่อปีคงไม่หนีไปไหน
สำหรับข้อมูลทางกายภาพ และข้อมูลเทคนิคต่างๆของ แอคคอร์ด ใหม่ ได้ถูกเผยแพร่ไปสักระยะแล้ว ทั้งจากสื่อมวลชนเอง หรือการให้รายละเอียดจากผู้แทนจำหน่ายโดยตรง แต่ล่าสุดเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย จัดทริปให้บรรดาผู้สื่อข่าวไปสัมผัสสมรรถนะจริง ถึงจังหวัดกระบี่ โดยนำมาให้ลองรุ่นเดียวคือ 2.4 EL NAVI

รูปพรรณสง่างาม ภูมิฐาน
หลังทำการศึกษาวิจัยจากแอคคอร์ดรุ่นเดิม ปรากฏว่าลูกค้าและกลุ่มเป้าหมายส่วนมากจะพูดเป็นเสียงเดียวกันคือ รูปลักษณ์รวมๆแม้จะดูสปอร์ต โฉบเฉี่ยว แต่อย่างไรแล้วมันก็ยังเล็กไปหน่อยดังนั้นแนวคิดการออกแบบในรุ่นใหม่ ฮอนด้าจึงใส่ใจไปที่ความใหญ่โตเป็นพิเศษ โดยมิติตัวถังของ แอคคอร์ด ใหม่ จะยาวขึ้นกว่ารุ่นเดิม 80 มิลลิเมตร ระยะฐานล้อเพิ่ม 60 มิลลิเมตร และกว้างขึ้น 24 มิลลิเมตร ซึ่งมิติรวมๆนั้นถือว่าใหญ่กว่าคู่แข่งทั้ง คัมรี่ เทียน่า หรือ โซนาต้า ขณะเดียวกันรูปลักษณ์ยังดูเปี่ยมพลัง ภูมิฐาน กับกระจังหน้าหกเหลี่ยมรับกับกรอบไฟหน้าอันยาวใหญ่ ไฟเลี้ยวที่กระจกมองข้างตามสมัยนิยม เส้นสายด้านข้างลากยาวมาจากฝากระโปรงหลังโอบล้อมตัวรถ พร้อมล้ออัลลอย 7 ก้านวงโต 17 นิ้ว ส่งให้รถดูสปอร์ตขึ้นมาอีกนิด แต่กระนั้นด้วยความรู้สึกส่วนตัวผมคิดว่า แอคคอร์ด ใหม่ ไม่ได้สร้างความโดดเด่นอะไรบนท้องถนน เพราะนอกจากความใหญ่โตแล้ว รูปลักษณ์แบบนี้เราคงชินตามาสักระยะกับ คัมรี่ และโซนาต้า ที่มันดูเคล้าคลึงเป็นแนวทางเดียวกันทั้งหมด
ภายในตกแต่งด้วยโทนสีเบจ ดูโอ่อ่า หรูหรา กว้างขวาง ขณะที่จุดเด่นของรุ่นนี้ก็อยู่ตรงระบบนำทางเนวิเกเตอร์ พร้อมจอแสดงผลขนาด 8 นิ้ว สามารถเล่นดีวีดี กล้องส่องมองขณะถอยหลัง ฮาร์ดดิสขนาด 40 GB และช่องเสียบ USB สำหรับเชื่อมต่อ Audio แต่ปุ่มควบคุมการทำงานระบบต่างๆรวมถึงแผงรับสัญญาณบลูทูธที่แปะประดักประเดิด อยู่บริเวณเสาเอ-พิลลาร์ ก็ทำให้ดูรกตาไปบ้าง แต่ทุกสิ่งอย่างเมื่อได้ลองมันกลับกลายเป็นความสะดวก และใช้งานง่ายอย่างเหลือเชื่อ
สำหรับระบบเนวิเกเตอร์ของแอคคอร์ด อาจต่างกับคัมรี่ ตรงซอฟแวร์ที่ใช้คนละตัวรวมถึงการสั่งงานควบคุมซึ่งคัมรี่นั้น เป็นระบบทัชสกรีน(สั่งงานโดยสัมผัสหน้าจอ) แต่แอคคอร์ดก็ใช้งานง่ายโดยปุ่มกลมๆดวงโตตรงกลาง ที่เรียกว่า “Interface dial” หรือจอยสติกค์ สามารถขยับซ้าย-เลื่อนขวา กดเอ็นเตอร์สั่งงาน ก็สะดวกได้ไม่แพ้กัน

ขับง่าย หนึบกว่าเดิม

การทดสอบ แอคคอร์ด ใหม่ เราใช้เส้นทางไป - กลับ จาก โรงแรมเชอราตัน กระบี่บีช มุ่งไป อุทยานแห่งชาติโบกขรณี ระยะทางร่วมๆ 115 กิโลเมตร ซึ่งหลังจากตั้งจุดหมายด้วยระบบเนวิเกเตอร์แล้ว ก็ไม่ต้องกลัวหลงเพราะจะมีคุณป้าเสียงแจ๋วช่วยแนะนำเส้นทางโดยตลอด

ตามสไตล์ฮอนด้าที่ค่อนข้างเอาใจใส่ผู้ขับ โดย แอคคอร์ด ใหม่ ยังให้วิสัยทัศน์การขับขี่ดีเยี่ยม เบาะนั่งโอบกระชับปรับไฟฟ้าได้ 8 ระดับ พวงมาลัยพร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง พร้อมแพดเดิ้ลชิพด้านหลังปรับเลือกเกียร์เอง รวมถึงครูสคอนโทรลก็มิได้ขาดได้ลืม

ขณะที่ตัวรถคันโตไม่ได้ทำให้การขับเทอะทะ แม้รัศมีวงเลี้ยวจะอยู่ระดับ 5.64 เมตร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการควบคุมผ่านพวงมาลัยแร็กแอนด์พิเนี่ยน พร้อมระบบอัตราทดแบบแปรผัน VGR (Variable Gear Ratio) ที่จะปรับการบังคับเลี้ยวตามสภาพการขับขี่ ส่งผลให้เราหมุนพวงมาลัยในจำนวนรอบที่น้อยลง (กรณีกลับรถ หรือถอยเข้าจอดซองแคบๆ) โดยชุดร่องเฟืองจะทำงานอย่างเหมาะสมรวดเร็วไม่ต้องเอี้ยวเลี้ยวให้เหนื่อย

นอกจากนี้ยังพยายามออกแบบให้จุดศูนย์ถ่วงของรถต่ำมากที่สุด ด้วยการวางเครื่องยนต์และถังน้ำมันต่ำลง ส่งผลให้ความสูงใต้ท้องรถ(Ground Clearance) ลดลง 12 มิลลิเมตร รวมถึงช่วงล่างปรับเซ็ทมาอย่างลงตัวทำให้ แอคคอร์ด ใหม่ ดูหนึบแน่นกว่ารุ่นเก่าอย่างรู้สึกได้ชัด การเข้าโค้งหนักๆที่ความเร็ว 80 – 100 กม./ชม. การโคลงหรือเหวี่ยงน้อยลง หรือทางตรงวิ่งยาวๆ 120 – 140 กม./ชม. ตัวรถยังนิ่ง ไร้ความกระโตกกระตาก

ขุมพลังสมเนื้อสมตัว
ถึงแม้แอคคอร์ด ใหม่ จะมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นกว่ารุ่นเดิมประมาณ 56 กิโลกรัม แต่ด้วยเครื่องยนต์ i-VTEC 2.4 ลิตร บล็อกเดิมแต่ปรับระบบการไหลของไอดีให้มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้แรงม้าเพิ่มขึ้น 10 ตัวเป็น 180 แรงม้า แรงบิดสูงสุดเพิ่มเป็น 222 นิวตันเมตรที่ 4,300 รอบต่อนาที (เดิม 218 นิวตันเมตร ที่ 4,000 รอบต่อนาที) ส่งกำลังด้วยเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด ก็ทำงานขมีขมันถ่ายทอดกำลังได้อย่างสอดคล้องนุ่มนวล
ขณะที่การออกตัวหรือจังหวะเร่งแซงไม่ถึงกับอุ้ยอ้าย แต่บางช่วงบางจังหวะความเร็ว 40-60 กม./ชม. จะไล่ไปถึง 100-120 กม./ชม. อาจต้องเข่นเค้นคันเร่งหนักหน่อย ยิ่งใครรักซิ่ง หรือยืมพ่อมาขับก็ผลักคันเกียร์มาเป็นโหมด Sport หรือเชนเกียร์เล่นผ่านแพดเดิ้ลชิฟท์ น่าจะสนุกเร้าใจมากกว่า ส่วนความเร็วปลายไหลไปได้ยาวๆ
ครบมาตรฐานปลอดภัย
การขับทดสอบตลอดเส้นทาง รถค่อนข้างหนาแน่นการจราจรพลุกพล่านจากสิบล้อ ปิกอัพ และมอเตอร์ไซค์ ทำให้ต้องเร่งแซงสลับแตะเบรกบ่อยครั้ง และถึงแม้ความรู้สึกในการเหยียบแป้นเบรกจะคล้ายๆกดเท้าลงบนฟองน้ำ แต่การทำหน้าที่ของดิสก์เบรกสี่ล้อก็ส่งผลให้ตัวรถชะลอหยุดได้ดั่งใจ ไม่ออกแนวแตะนิดแล้วหัวทิ่มหัวตำเหมือนรถยนต์ฮอนด้ารุ่นก่อนๆ
ขณะเดียวกัน แอคคอร์ด ใหม่ ยังมาพร้อมระบบเบรก ABS กระจายแรงเบรกEBD เสริมแรงเบรก BA ระบบควบคุมการทรงตัว VSA พร้อมถุงลมคู่หน้า ถุงลมคู่หน้าด้านข้าง ม่านถุงลมด้านข้าง รวม 6 ตำแหน่ง ทั้งนี้ในแอคคอร์ด ใหม่ ไม่ได้ติดตั้งระบบสตาร์ท- เปิด-ปิด ประตูอัตโนมัติ (Keyless) ดังนั้นออปชั่นตรงนี้ยังด้อยกว่าโตโยต้า คัมรี่ 2.4V DVD Navigator (ราคา 1.749 ล้านบาท)
รวบรัดตัดความ...
สมรรถนะรวมๆของ แอคคอร์ด ใหม่ ถือว่าทำได้ประทับใจและพัฒนาไปจากรุ่นเดิมอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะช่วงล่างและการทรงตัวที่หนึบนิ่ง การตอบสนองของเครื่องยนต์ทำได้สมเนื้อสมตัว ควบคุมคล่องมือขับขี่สบาย ตัวถังใหญ่โตขึ้น ภายในกว้างขวางพื้นที่ใช้สอยเพียบ ขณะที่การออกแบบหรือรูปลักษณ์คงเป็นเรื่องนานาจิตตังแล้วแต่ความชอบครับ


อย่างไรก็ตามประเด็นน่าสนใจและน่าจะนำมาเป็นปัจจัยในการพิจารณาซื้อรถยนต์ตอนนี้คงหนีไม่พ้นการได้ภาษีสรรพษามิตอัตราพิเศษสำหรับรถที่สามารถใช้น้ำมันแก็สโซฮอล์ อี20 ส่งผลให้ราคาลดลงมาตั้งแต่หลักหมื่นไปยันหลักแสน(แล้วแต่รุ่น) ซึ่งราคาล่าสุดของ แอคคอร์ด ใหม่ รุ่น 2.4 EL NAVI ปรับลงมา 1.13 แสนบาท เป็น 1.647 ล้านบาท ขณะที่คู่แข่งอย่าง โตโยต้า คัมรี่ ยังไม่มีการขยับตัว และต้องรอความชัดเจนปีหน้า
ข้อมูลทางเทคนิค แอคคอร์ด 2.4 EL Navi
เครื่องยนต์ i-VTEC DOHC 4 สูบเรียง 16 วาล์ว
ความจุกระบอกสูบ(ซีซี) 2354
กำลังสูงสุด(แรงม้า/รตน.) 180/6,500
แรงบิดสูงสุด(นิวตันเมตร/รตน.) 222/4,300
ความยาว(มม.) 4,935
ความกว้าง(มม.) 1,845
ความสูง(มม.) 1,476
ระยะฐานล้อ(มม.) 2,800
น้ำหนักรวม(กก.) 1,556
ความจุถังน้ำมัน(ลิตร) 70
ระบบกันสะเทือน หน้า ดับเบิ้ลวิชโบน พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบกันสะเทือน หลัง มัลติลิงค์ พร้อมเหล็กกันโคลง
ขนาดยางหน้า-หลัง 225/50R17
ราคา(บาท) 1,647,000

ปลัดกระทรวง คมนาคม
เป็นประธาน ในพิธีเปิดตัวการมาถึงของ รถไฟขบวนแรก
วันศุกร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2550 ที่ผ่านมา

ข้อมูลโครงการระบบขนส่งทางรถไฟเชื่อมท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและสถานีรับส่งผู้โดยสารอากาศยานในเมือง
คณะรัฐมนตรีอนุมัติโครงการ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2547
รถไฟฟ้าที่ใช้ในโครงการนี้ คือรถตระกูล Desiro® UK ของบริษัทซีเมนส์ ชนิดเดียวกันกับ
Heathrow Express ในกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ
ลักษณะขบวนรถเป็นแบบ Electrical Multiple Unit ต่อเป็นชุดขบวน 3-4 Bogeys ต่อขบวน เพิ่มBogeyได้เมื่อต้องการ
ลักษณะของรางวิ่ง เป็นประเภทรางคู่ คือ วิ่งไปและกลับอย่างละราง สวนทางกัน เช่นเดียวกับ BTS และ MRT
แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ
1.SA Express -สีแดง รถไฟฟ้าด่วนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
2.SA City Line - สีน้ำเงิน รถไฟฟ้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ประเภทรถด่วน SA Express 1 ขบวนมี 4 ตู้
-3 ตู้ใช้ขนส่งผู้โดยสาร
-1 ตู้ใช้ขนคอนเทนเนอร์บรรจุกระเป๋าสัมภาระ



SA Express มีเฉพาะที่นั่ง ปูพรมและที่นั่งบุด้วยผ้า เป็นที่นั่งคู่
ซ้ายขวาอย่างละ 2 แถว โดยมีชั้นสำหรับวางกระเป๋าสัมภาระเหนือที่นั่งทั้งสองฝั่งและข้างประตูทางเข้า
จุผู้โดยสาร 170 ที่นั่งต่อขบวน
•มีที่เฉพาะสำหรับ wheelchair
•มีห้องสุขาโดยผู้ใช้ wheelchair สามารถเข้าใช้ห้องน้ำได้อย่างสะดวก
•มีตู้สำหรับขนส่งคอนเทนเนอร์กระเป๋าโดยเฉพาะ 1 ตู้

ตู้ขน สัมภาระ Container Bogey

วิ่งระหว่างสถานีมักกะสันถึงสถานีสุวรรณภูมิ โดยไม่มีการจอดตามสถานีระหว่างทาง
ความเร็วเฉลี่ย 103 กม.ต่อชม. รวมระยะทาง 25.7 กม. ใช้เวลา 15 นาที

ประเภทรถไฟฟ้าท่าอากาศยาน
SA City Line
1 ขบวน มี 3 ตู้ ความเร็วเฉลี่ย 64 กม.ต่อชม. วิ่งระหว่างสถานีพญาไท
ถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมระยะทาง 28.5 กม.

ให้บริการทั้งหมด 8 สถานี
1.พญาไท-BTS
2.ราชปรารภ
3.มักกะสัน-MRT
City Air Terminal
4.รามคำแหง
5.หัวหมาก
6.บ้านทับช้าง
7.ลาดกระบัง
8.สุวรรณภูมิ

ระยะทางระหว่างสถานีเฉลี่ย 4.1 ก.ม. ใช้เวลาเดินทาง 30 นาที เชื่อมต่อ BTS ที่สถานีพญาไท
เชื่อมต่อ MRT ที่สถานีมักกะสัน
SA City Line
รองรับผู้โดยสารยืนเป็นหลัก มีห่วงยึดและราวจับ ลักษณะที่นั่งจะเป็นแถวยาวเหมือน BTS หรือ MRT
รวมผู้โดยสาร745 คน นั่ง 150 คน ยืน 595 คน
จำนวนรถไฟฟ้าทั้งหมด 31 ตู้ รถไฟฟ้าด่วนท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
SA Express 4 ขบวนๆ ละ 4 ตู้ = 16
รถไฟฟ้าท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
SA City Line 5 ขบวนๆ ละ 3 ตู้ = 15
เวลาให้บริการ รถไฟฟ้าด่วน SA Express 05:00 น. – 01:00 น.
รถไฟฟ้า SA City Line บริการตลอด 24 ช.ม.
ความถี่ในการให้บริการ 05:00-01:00 ทุก 15 นาที ทั้ง 2 ประเภท
01:00-05:00 ทุก 30 นาที เฉพาะ City Line
รถไฟฟ้าด่วน 2 ขบวนแรก เดินทางมาถึงประทศไทยเมื่อ
วันอังคารที่ 16 ต.ค.2550 ที่เหลืออีก 7 ขบวน จะมาถึง ภายในต้นปี พ.ศ. 2551
SA Express 2 ขบวน และSA City Line 2 ขบวน
มีกำหนดจะมาถึงท่าเรือแหลมฉบังต้นเดือนมกราคม 2551
=======================================================================
SA City Line 3 ขบวนสุดท้าย จะมาถึงในปลายเดือนมกราคม 2551
โดยการวิ่งทดสอบระบบครั้งแรก ในกรุงเทพฯ คาดว่าน่าจะเริ่มดำเนินการได้ใน
เดือนเมษายน พ.ศ. 2551
กำหนดเปิดให้บริการ ต้นปี 2552
ค่าโดยสาร สำหรับรถทั้ง 2 ประเภท ไม่มีการพูดถึง
ในการแถลงข่าว
ขอบคุณครับ