Google
 

Saturday, May 1, 2010

ไปด้วยกันนะ... ไปเที่ยวจิวไจ้ โกว (เมืองไทย) กัน

เสียงนกร้องจุ๊บจิ๊บๆ ดังไกลออกไปในพงป่า..
ต้นไม้สูงเสียดฟ้า ข่มให้ท้องฟ้าสีฟ้าดูหม่นจางลง
ขณะที่ฉันกำลังเดินอยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ป่าเขา และธารน้ำที่ใดสักแห่งในเมืองไทยของเรา

ฉับพลันฉันก็เห็นเด็กกลุ่มหนึ่งค่อยๆ ไต่ออกมาขอนต้นไม้ใหญ่ล้มพาดลง บนพื้น
ฉันหยุดรอจนเด็กกลุ่มนั้นเดินจากไป เพื่อที่จะชะโงกหน้าดูว่า พวกเขาเข้าไปดูอะไรกัน
และที่สุดก็ตัดสินใจ ค่อยๆ เดินไต่ขอนไม้นั้นเข้าไป

ภาพที่ปรากฏเบื้องหน้า...
ทำให้ฉันตื่นตะลึง และความคิดแรกที่ผุดขึ้นในใจของฉัน คือ

"นี่มัน จิวไจ้โกวเมืองไทยชัดๆ เลยนี่นา"




จิ่วไจ้โกวเมืองไทย


สระมรกต ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาประ-บางคราม ต. คลองท่อมเหนือ อ. คลองท่อม จ. กระบี่ ห่างจากตัวเมืองมาทางเกาะลันตา หรือ จ.ตรัง ประมาณ 40 ก.ม. จัดเป็นป่าที่ราบผืนสุดท้ายของเมืองไทย ภายในป่ามีพืชพรรณและสัตว์ป่าขนาดเล็กมากมาย เฉพาะนกมีมากกว่า 318 ชนิด ประการสำคัญที่สุด คือ เป็นแหล่งอาศัยสุดท้ายของนกแต้วแล้วท้องดำ ซึ่งใกล้สูญพันธุ์ไปจากโลกค่ะ

แต่แหะ..แหะ.. มากันแป๊บๆ และดุ่ยมากัน 2 คนแบบนี้ คงตามหาแต้วแล้วไม่เจอหรอกค่ะ เอาเป็นว่า เรากำลังจินตนาการว่ามาเที่ยวจิวไจ้ โกวกันก็แล้วกันนะคะ

...

ช่วงบ่ายต้นๆ ที่เราเดินทางมาถึง อากาศกำลังร้อนได้ที่เชียว ที่สำคัญคนเยอะกว่าที่คิดค่ะ
พอผ่านด่านเก็บเงินจะพบทางสองแพร่ง ให้นักท่องเที่ยวเลือกเดินตามอัธยา ศัย


ทางแรก ดูเดินสบาย ระยะทางไปถึงสระมรกตประมาณ 800 เมตร




ทาง สายที่สอง ดูลำบากเล็กน้อย ระยะทางไปถึงสระมรกตประมาณ 1400 เมตร

โดยทั่วไป คนส่วนใหญ่จะเลือกทางแรกค่ะ แต่ขอแนะนำให้ขาไปใช้ทางสายที่สอง และค่อยกลับจากทางเส้นแรกค่ะ


ทางสายที่สองเป็นเส้นทางศึกษา ธรรมชาติที่ชื่อว่า "ที นา โจลิฟฟ์" ที่ได้ชื่อนี้ เพราะตั้งชื่อเป็นเกียรติแก่นางที นา โจลิฟฟ์ นักอนุรักษ์ป่าเขตร้อนชาวอังกฤษ ที่ได้ช่วยเหลือด้านเงินทุนและ ให้การสนับสนุนในการก่อตั้งเขตรักษาพันธุ์ฯ แห่งนี้

ตลอดเส้นทางเราจะได้สัมผัสธรรมชาติในป่าดงดิบชื้นที่ราบต่ำ ซึ่งเป็นป่าดงดิบที่อยู่ในระดับไม่เกิน 200 ม. จากระดับน้ำทะเลปานกลาง บางส่วนเป็นป่าพรุ ที่นี่จึงมีพืชพรรณหลากหลายชนิด ถ้าเราโชคดีก็อาจพบสัตว์เล็กๆ เช่น กระรอกปลายหางดำ กิ้งก่าบิน และนกหลากหลายชนิดตามที่กล่าวข้างต้นค่ะ เส้นทางนี้ต้องใช้เวลาเดินประมาณ 1-2 ชม. (แล้วแต่ระดับความโอ้เอ้ อิชั้นใช้เวลาประมาณ 2 ชม. ค่ะ ๐_๐) ทางจะไปสิ้นสุดที่สระมรกตค่ะ


ตามมาเลยค่ะ




ต้นไม้ใบหญ้า





ระหว่างทางเป็นธารน้ำที่ไหลมาจากสระมรกต น้ำใสแจ๋วทีเดียว








ธารน้ำบางส่วนตกมาน้ำชั้นหินปูน ประมาณน้ำตกเล็กๆ ค่ะ




แอ่ง น้ำระหว่างทางเดินค่ะ





น้ำ ใสจนพวกเราสนุกกับการนั่งถ่ายภาพเงาสะท้อนของน้ำ




ท่าม กลางเสียงน้ำไหล และธรรมชาติ




สระแก้วอยู่ก่อน ถึงสระมรกตนิดเดียว มาช่วงบ่ายน้ำไม่สวย เป็นคราบหินปูนหรือเปล่าไม่แน่ใจค่ะ

พอเข้าใกล้สระมรกต ก็ได้ยินเสียงเจี้ยวเชียวค่ะ
โผล่ หน้าไปเจอภาพแบบนี้ค่ะ




555 มาช่วงบ่าย สงสัยร้อนจัด คนลงเล่นน้ำเพียบเลยค่ะ




บรรยากาศ และลีลา @ สระมรกตค่ะ








สระมรกตที่เห็นนี้เป็นสระน้ำธร รมชาติขนาดใหญ่กลางป่า กว้างประมาณ 25 ม. ยาว 20 ม. ลึก 1.5-2 ม. น้ำภายในสระปกติจะใส จนมองเห็นพื้นหินด้านล่างซึ่งมีสีเขียวมรกตอัน เป็นที่มาของชื่อสถานที่ค่ะ ภายในสระไม่มีปลา สัตว์น้ำ หรือพืชน้ำเลย ทั้งนี้เป็นเพราะสายน้ำที่ไหลมาลงสระเป็นน้ำที่ไหลผ่านเทือกเขา หินปูน จึงมีแร่ธาตุหลายชนิดเป็นส่วนผสม ทำให้น้ำค่อนข้างกระด้าง ซึ่งมีผลต่อการละลายของเกลือ ทำให้สารแขวนลอยต่างๆ ตกตะกอนอย่างรวดเร็ว และยังยับยั้งการเจริญเติบโตของพืชน้ำด้วย

อย่างไรก็ตาม หากมีผู้ลงเล่นน้ำ น้ำจะขุ่นขึ้นเล็กน้อยค่ะ ต่อเมื่อสระร้างราผู้คน น้ำก็จะตกตะกอนอย่างรวดเร็ว และกลับมาใสอีกครั้งหนึ่งค่ะ

ลองจินตนาการดูนะคะ
ถ้าเราเดินป่า มาเจอสระน้ำเขียวใสหลับไหลอยู่ท่ามกลางแมกไม้และเสียงนก ร้อง
มันคงเป็นความมหัศจรรย์ที่สุดแสนจะบรรยายเลยนะคะ สำหรับท่านที่อยากได้ภาพอารมณ์นี้ คงต้องมายามเช้าค่ะ

เค้าว่า ที่นี่จะสวยในยามเช้า และบ่าย ที่แสงแดดส่องกระทบผิวน้ำ โดยในช่วงเวลาต่างกัน สีของน้ำก็จะต่างกันไปด้วยค่ะ



ภาพนี้เป็นภาพที่ถ่ายอีก เวลาหนึ่ง ประมาณเกือบห้าโมงเย็นค่ะ น้ำสีสวยมากเลย



สำหรับท่านที่ไม่ชอบคนเยอะ
แนะนำให้หลบไปสปาเท้าที่ธารน้ำตกเล็กๆ ข้างๆ ค่ะ สบายจริงๆ


จาก สระมรกตหากยังมีแรงเดินต่อ แนะนำให้เดินไปอีก 600 เมตร จะพบกับสระน้ำผุด มาไปกันค่ะ




ระหว่างทางจะเห็นทางน้ำไหลผ่านแอ่งหิน ปูนแปลกตาดี









สระฤาษีน้ำใสแจ๋ว





อ่าน ตำนานดูนะคะ ที่นี่เค้าห้ามเล่นน้ำค่ะ เป็นความเชื่อว่า จะโชคร้ายค่ะ




เดินฝ่าดงเฟิร์น เข้าป่าไปอีกหน่อย จะพบกับ....





สระ น้ำผุด ที่ได้ชื่อนี้ เพราะเมื่อตบมือดังๆ จะมีน้ำผุดเป็นฟองขึ้นมาค่ะ




สนุก กับการตบมือใหญ่เลย ข้อมูลบอกว่าที่นี่เป็นตาน้ำ และเป็นต้นกำเนิดของสระมรกตค่ะ

ขากลับเริ่ม เย็น มีเสียวนิหน่อย เพราะไม่มีคนเลย ป้ายบอกทางก็ไม่มี ใครที่ต้องการมาเที่ยวจุดนี้ แนะนำให้เข้ามาก่อน 14.00 น.ดีกว่าค่ะ จะได้ไม่เปลี่ยวเกินไป และไม่ต้องโกยกลับแทบแย่เหมือนอิชั้นค่ะ

กลับมาถึงสระมรกตก็ยังมีคนเล่นน้ำอยู่นะคะ อากาศร้อนๆ แบบนี้ ทำให้คิดถึงสระมรกตจัง


โอ้! ถ้านี่ คนกรุงได้มีโอกาสอาบน้ำแร่ ท่่ามกลางธรรมชาติอย่างที่สระมรกต
คงทำให้หายร้อนใจได้เยอะเลยนะคะ





ส่งท้ายด้วยภาพน่ารักของครอบ ครั

เมืองไทยนี้แสนดีหนักหนา
ในน้ำมีปลาในนามีข้าว
อาหารการกิน แสนอุดมสมบูรณ์
มีธรรมชาติแสนสวยให้เราเที่ยว
เราจึงแสนภูมิใจกับการ เป็นพลเมืองชั้นหนึ่งของไทย

รักเมืองไทยให้มากๆ นะคะ

No comments: