Google
 

Monday, May 10, 2010

บันทึกการเดินทาง ดอยหลวงเชียงดาว

ด้วยระยะทางอันยาวไกล สู่ภูมิประเทศแบบพืชกึ่งอัลไพน์
(Subalpine Vegetation) บนยอดเขาหินปูนที่สูงที่สุดของไทย
บันทึกการเดินทาง ครั้งนี้ จึงขอบอกเล่าด้วยเนื้อหาแบบนักเดินทางหน่อย พาเที่ยวไปกับผมหล่ะครับ

ดอยหลวงเชียงดาวนั้นถือเป็นภูเขาหิน ปูนที่มีความสูงที่สุดในประเทศ ด้วยความโดดเด่นของภูมิประเทศแบบ พืชกึ่งอัลไพน์และภูมิอากาศอันหนาวเย็นทำ ให้หลายๆคนอยากจะไปสัมผัสซักครั้ง



แต่ ที่ยิ่งท้าทายยิ่งกว่าก็คือ การที่ต้องแบกของกิน เสบียง ทั้งอาหารและน้ำขึ้นไปกินเอง ด้วยระยะทางและต้องแบกสัมภาระเองนั้น แน่นอนนักเดินทางทั้งหลายจะต้องวางแผนการเดินทางและเตรียมร่างกาย ให้พร้อม เป็นอย่างดี

สำหรับผมเองนั้นเป็นความบังเอิญซะมากกว่าที่จะได้ไปที่นี่ ไม่รู้มาก่อนว่าที่นี่ทรหดหรือลุยแค่ไหน ต้องเตรียมตัวยังไงบ้าง ถึงเวลาเดินทางก็เก็บกระเป๋าเสื้อผ้าพร้อมกระเป๋ากล้องแบบเร่งรีบ อีกตามเคย ลืมนู่นลืมนี่อยู่ตลอด ที่งที่มีเวลาเตรียมตัวอยู่ตั้งนาน แต่ก็ไม่ทำ เห่อๆ มันกลายเป็นนิสัยที่แก้ยากไปแล้วครับ อิอิ

หลังเลิกงานวัน ศุกร์ก็เจอกันที่จุดนัดพบ แน่นอนผมมาสายเช่นเคย อิอิ แต่ก็นะ พี่ๆน้าๆเค้าคงชินกันหมดแระ หะๆ.. จนแบบว่ากว่าจะออกจากกรุงเทพได้ก็ ปาเข้าไปเกือบสามทุ่ม ยังไงเช้านี้จุดมุ่งหมายเราคือลำปาง เพราะเราต้องไปรับลุงจอห์น ลุงคนโตของพวกเรา ฮ่าๆ หลังจากนั่งสัปงกอยู่บน รถหลายครั้งหลายคราว รถก็ไม่ได้ช่วยเค้าขับแถมยังหลับเกือบตลอดทางอีก หุหุ ประมาณตี 4 พวกเราก็มาถึงลำปาง มาถึงก็รีบอาบน้ำอาบท่า เดินทางกันต่อเพราะต้องรีบไปเตรียมเสบียงและก็รีบขึ้นไปบนเขาแต่ เช้า เพราะกว่าจะเดินขึ้นไปถึงจุดกางเตนท์นั้นก็ต้องใช้เวลาเกือบ ทั้งวัน แต่ยังไงก็ขอแว่ะตลาดนัดริมทางให้ผมหน่อยนะ เพราะผมไม่ได้หยิบกางเกงขายาวมา พกมาแต่โลชั่น อิอิ ก็คิดว่ามันจะไม่หนาวมากนี่นา หะๆ ถ้าไม่มีกางเกงขายาวและถุงเท้านี่ งานนี้มีหวังได้หนาวตายเป็นแน่ เห่อๆ



แต่ กว่าจะจัดการเรื่องลูกหาบและเสบียงเสร็จก็ปาไปเกือบสิบโมงแล้ว เง้อ.. แล้วแบบนี้จะไปถึงยอดดอยกี่โมงกันหล่ะเนี่ย พอทุกอย่างเรียบร้อย รถเจ้าหน้าที่อุทยานก็ขับขึ้นไปส่งเราที่จุดเริ่ม เดินทาง พร้อมลูกหาบอีก 4 คน ที่ต้องถือเสบียงและเต็นท์ให้เรา ส่วนพวกเราก็มีน้ำคนละขวดพร้อมกระเป๋ากล้อง ที่หนักเหลือเกินนนน อิอิ

การเดินทางครั้งนี้พวกเราเลือกที่จะขึ้นทาง"ปางวัว"ครับ หนทางค่อนข้างลำบากแต่ใกล้ครับ(จริงๆ สามารถขึ้นทางเด่นหญ้าขัดก็ได้นะ ครับ ซึ่งจะเดินง่ายกว่า แต่ไกลทีเดียวครับ) ช่วงแรกของการเดินทางก็ยังฟิตกันอยู่ อากาศเย็นดีเหลือเกิน ลั้ลลาคุยกันไป แต่ซักพักเหงือเริ่มออก ต้องเก็บเสื้อกันหนาวกันใหญ่ ไม่ไหว เหงื่อแตกพรั๊ก ทั้งร้อนทั้งเหนื่อย ฮ่าๆ แต่ช่วงแรกนี้ยังไม่มีอะไรให้ถ่ายกัน มากนัก ต้องรีบเดินๆ เพราะเด่วจะมือเอาซะก่อน ประมาณ 11.30 น. พวกเราก็มาถึงดงน้อย พักเกินข้าวเที่ยง พร้อมกับรอลูกหาบ ที่ยังไม่ขึ้นมากันซักที ทีแรกลูกหาบจะให้พวกเราพักกันที่นี่ แต่ยังไงหล่ะ นี่พึ่งจะครึ่งวันเอง จะนอนกันตรงนี้ได้ไง เวลาก็มีไม่กี่วัน
ยังไงก็ต้องเดินต่อไปให้ได้เยอะที่สุด ถึงจะไม่ถึงยอดดอยก็ตาม…



กว่า จะกินข้าวเสร็จ รอลูกหาบเสร็จ นี่ก็ปาเข้าไปบ่าย 2 กว่าๆแล้ว แถมลูกหาบก็งอแง ไม่ยอมไปต่อ จนพวกเราตกลงจะจ่ายเงินเพิ่ม ให้กับพี่ที่จะเอาเตนท์กับเสบียงบางส่วนไปให้เรา ให้พออยู่คืนนี้ได้ ส่วนที่เหลือค่อยทะยอยไปทีหลังแล้วกัน ว่าแล้วพวกเราก็เริ่มเดินทางกันต่อ เร่งฝีเท้าเข้า เพราะเริ่มจะมืดแล้ว อากาศก็เริ่มเย็นๆ ทางเดินก็เริ่มลำบากแล้วครับ เส่นทางล็กๆ ลัดเลาะไปตามซอกหิน ถูกใจนักผจญภัยหล่ะครับงานนี้ ฮ่าๆ

ห้าโมงกว่าพวกเราก็มาถึง"อ่างสลุง"(เป็น ที่ราบเล็กๆสำหรับพักก่อนขึ้นสู่ยอดดอยหลวงเชียงดาวครับ) เป็นจุดพักกลางหุบเขาที่นี่มีนักท่องเที่ยวมาพักกางเตนท์กันเยอะ ทีเดียว มาถึงพวกเราก็รับจับจองหาที่กางเตนท์กัน ลูกหาบยังมาไม่ถึงก็นอนแผ่มันกับพื้นนั่นหล่ะครับ เหนื่อยเหลือเกิน เสื้อผ้าก็มีอยู่ชุดเดียว ส่วนเรื่องห้องน้ำหรือที่จะอาบน้ำนั้น ตัดทิ้งไปได้เลยครับ มาที่นี่แล้ว ต้องนอนกลางดินกินกลางทรายหล่ะครับ ไม่มีห้องน้ำ ไม่มีน้ำให้อาบหรอกครับ มีเพียงส้วมหลุมให้พอปลดทุกข์กันไป แค่นั้น ได้บรรยากาศครับ หะๆ



คืน นี้เสบียงของเราก็ง่ายๆครับ มาม่า หร่อยที่ซู๊ดดด ฮ่าๆ อิ่มแล้วก็ต้องรีบเข้านอนหล่ะครับ ฟันก็ไว้แปรงพรุ่งนี้เช้าทีเดียว เพราะน้ำที่มีไม่พอ ฮ่าๆ
เพื่อชีวิตกันสุดๆหล่ะครับ ที่สุดๆไปกว่านั้นคือช่วงๆดึกๆ เง้อ หนาวมากกกกก หมอกลงหนามาก เย็นจับใจหล่ะครับ แทบนอนกันไม่ได้ทีเดียว กลางหุบเขาหินปูน ตอนกลางคืนมันก็แบบนี้หล่ะครับ เห่อๆ ตื่นเช้ามาก็ต้มกาแฟร้อนๆ พร้อมกับโจ๊คคนละถ้วย ให้พอคลายหนาวได้ แต่ขอบอกว่า แบบนี้หล่ะครับสุขใจ ได้บรรยากาศการเดินทางที่สุด ชอบนะครับ โหดดี ฮ่าๆ

เอาหล่ะได้เวลาเดินทางกันต่อแล้ว ยังไงวันนี้เราต้องขึ้นไปถึงยอด ดอยกันให้ได้ หลังจากเก็บสัมภาระเสร็จ พวกเราก็เดินทางกันต่อ เป้าหมายของเราคือดอยกิ่วลมครับ ซึ่งเป็นสถนที่กางเตนท์บนดอยหลวงเชียงดาว เช้านี้หมอกลงเยอะ บรรยากาศเย็นๆ ที่สำคัญตอนนี้พวกเราเริ่มมาถึงยอดเขาแล้ว เห็นได้จากพืชพรรณ มีดอกไม้สีสวยๆและแปลกๆมีอยู่ตลอดเส้นทาง ล้อมรอบด้วยทุ่งหญ้ากว้างที่โอบล้อมด้วยขุนเขาสูงรอบด้าน จนอดใจไม่ได้ที่จะต้องหยิบกล้องออกมาบันทึกภาพ มุมใครก็มุมมันหล่ะครับ ก้มๆเงยๆ ถ่ายดอกไม้สวยๆกันไป ความรู้สึกในตอนนั้นยังกะเดินอยู่ใน ฝันประมาณนั้น ฮ่าๆ



ไม่ นานพวกเราก็มาถึงกิ่วลม จุดพักกางเตนท์ของเรา มาถึงก็รับจัดเตรียมสถาณที่กาง เตนท์และทำอาหารกัน วันนี้ขอกินมื้อใหญ่เลยละกัน
หุง ข้าว กับผัดผักรวมมิตรแบบมีอะไรก็ใส่ลงไปอะไรประมาณนั้น อิอิ เท่านี้ก็อร่อยที่สุดแล้วครับ ฮ่าๆ พออิ่มแปร้แล้วก็ของีบซักหน่อย เด่วเย็นๆก็จะได้เดินไปดูวิว พร้อมพระอาทิตย์ตกที่ยอดดอยเชียงดาว เป็นจุดที่มองเห็นยอดเขาสูงเรียงกันได้สวยงาม ยังกะในนิยายจริงๆครับ แต่เส้นทางนี่สิ โหดจริงๆ ทั้งชันทั้งสูง ต้องปีนป่ายกันขึ้นไป แต่ไปถึงก็คุ้มครับ งดงามมากๆ พอจะเริ่มมืดก็ต้องรีบลงมาครับ เด่วจะมองไม่เห็นทางซะก่อน อ่อๆ ไปที่นี่อย่าลืมพกไฟฉายไปด้วยนะครับ ส่วนผมดเอง ไม่ได้พกไปครับอาศัยยืมพี่ๆเค้า อิอิ



อยาก บอกว่าที่นี่บรรยากาศดีสุดๆ นอนมองดาวสบายใจ เป็นสถานที่ที่โอบล้อมด้วยขุนเขา และดวงดาวจริงๆ ดาวเต็มฟ้า สุดๆครับ
แต่ยังไงคืนนี้ต้องรีบนอนหล่ะครับ เพราะพรุ่งนี้เช้าเราต้องเดินไปยอดดอยกิ่วลม ไปดูทะเลหมอกกัน ตั้งนาฬิกาปลุกกันตั้งแต่ตี 4 หยิบไฟฉายและกระเป๋ากล้องพร้อม อ่อๆอย่าลืมเสื้อกันหนาวด้วยนะครับ หะๆ เดินกันเกือบชั่วโมง มืดๆก็เดินตามๆกันไป ระวังลื่นเป็นพอเพราะทางค่อนข้างชัน แต่พอไปถึงแล้วไม่ผิดหวังครับ ทะเลหมอกสวยมากๆ ซึ่งมี 2 ฝั่งให้มอง ด้านหนึ่งเป็นทะเลหมอก ส่วนอีกด้านเป็นพระอาทิตย์ขึ้น เล่นเอาตะลึงกันอยู่นาน ไม่รู้จะถ่ายอะไรดี สวยไปหมด ฮ่าๆ



ผจญ ภัยกันมา 2 วัน 2 คืนแล้วก็ได้เวลาเดินทางกลับกัน ขากลับพวกเราก็เดินกันรวดเดียวเลย ห่อข้าวเที่ยงมาไว้กินกลางทาง แค่นั้นพอ
ออก เดินทางกันตอนสิบโมงครึ่ง เดินเรื่อยๆ ชมนกชมไม้ ถ่ายรูปไปเรื่อย พวกเราก็มาถึงจุดหมายกันตอนบ่ายสามโมง เหนื่อยหล่ะครับ แต่ประทับใจซะมากกว่า ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตได้ไปสัมผัสอะไรแบบนี้ สุดยอดครับ ไม่รู้ว่าถ้าอายุเยอะขึ้นแล้ว จะยังมากันไหวไหม ฮ่าๆ เอาเป็นว่าคราวหน้า จะพาไปเที่ยวกันใหม่นะครับ

No comments: