29 สิงหาคม 2546 พานทองแท้ ชินวัตร (โอ๊ค) ลูกชายของนายกรัฐมนตรีขณะนั้น จะได้ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ ว่าได้นำโพยกระดาษแอบซุกเข้ามาในห้องสอบวิชาการวิเคราะห์ ระบบการเมืองไทย หรือ PS 421 ซึ่งเป็นวิชาสำหรับนักศึกษาชั้นปีที่ 3 คณะรัฐศาสตร์ สาขาการปกครอง มหาวิทยาลัยรามคำแหง (มร.) นั่นดูเหมือนจะเป็นข่าวชิ้นแรกๆ ที่นักข่าวให้ความสนใจกับข่าวในเชิงลบของ พานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายคนเดียวของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน “ความ ลับ” ของพานทองแท้ที่ถูกเปิดเผย ในเรื่องโพยนำกระดาษเข้าห้องสอบ นั้น ถือเป็นเรื่องเพียงเสี้ยวเดียวจากความลับอีกหลายเรื่อง ซึ่งสื่อมวลชนคงไม่อยากที่จะนำมาเปิดเผยก็เพราะมันเป็นเรื่องส่วน ตัว และไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ กับบ้านเมือง ความเป็นลูกชายมหาเศรษฐี และเป็นลูกนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น พานทองแท้ได้ถูกเอาอกเอาใจทั้งจากนักการเมือง พนักงานของรัฐ และพ่อค้าเอกชนในระบอบทักษิณ จนไม่ว่าจะเปิดกิจการธุรกิจ หรือทำกิจกรรมใดๆ ก็จะมีแขกผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง ล้นหลาม และยังมีธุรกิจที่ได้ประโยชน์จากเครือข่ายในทางการเมืองอีกมาก มายมหาศาลด้วย ความรุ่งเรืองและทรงอิทธิพลของครอบครัวชินวัตร ยังได้ส่งผลกระทบแม้กระทั่งสิทธิเสรีภาพในการแสดงผลงานของตลกที่อาจกระทบ ต่อพานทองแท้อีกด้วย ปี 2547 เด๋อ ดอกสะเดา นักแสดงตลกได้เขียนบทและกำกับบทภาพยนตร์เรื่อง “ยอดชายนาย โอ๊กอ๊าก” โดยมี นายสายันห์ ดอกสะเดา นักแสดงตลก พิการทางสมอง ซึ่งรับบทนำเป็น “โอ๊กอ๊าก” ลูกชายของ “เจ้า สัวรักสิน” ซึ่งชื่อและลักษณะตัวละครมีลักษณะล้อเลียนทางการ เมืองได้สร้างความไม่พอใจกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อย่างมากจนถูกตำรวจสันติบาลเข้ามาตรวจสอบภาพยนตร์ชุดนี้โดยอ้างว่า “อาจเป็นภัยต่อความมั่นคงต่อรัฐ” วาทกรรมของ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวในขณะนั้น คือ “ต้องระวัง ถ้าทำให้ผู้นำประเทศเป็นตัวตลก ประเทศก็เป็นตัวตลกไปด้วย” ปี 2553 ภายใต้คดีการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาท ของครอบครัวชินวัตร อาจทำให้ต้องเปลี่ยนวาทกรรมใหม่ว่า “ต้องระวัง ถ้าผู้นำประเทศเห็นประชาชนโง่ ประเทศก็จะเป็นตัวตลกและเสียหายไปด้วย” 6 ปีเศษผ่านไปจากวันกำเนิดภาพยนตร์เรื่อง “ยอดชายนายโอ๊กอ๊าก” (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น โว๊กว๊าก) ใครจะเชื่อได้ว่า “ความลับ” จากพานทองแท้ ซึ่งได้เก็บงำเอาไว้เป็นเวลาหลายปีจะมาถูกเปิดเผย และกลายเป็นหลักฐานสำคัญในการจับผิดและมัดคดีความการยึดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทอย่างชนิดที่ดิ้นไม่หลุด แต่ครั้งนี้ลำพังสติปัญญาที่วาง แผน “พกกระดาษโพย” คงมือไม่ถึง แต่เพราะมีผู้ใหญ่คอยวางแผนบงการ อยู่เบื้องหลังจึงมีความสลับซับซ้อนอย่างยิ่ง เพราะในคดีที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำ ที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ จะพยายามพิสูจน์ใน 2 ประเด็น คือ ประเด็น แรก พิสูจน์ให้เห็นว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานยังคงบงการหรือถือ หุ้นผ่านหุ่นเชิดในกิจการสัมปทานของรัฐอยู่ หรือที่เรียกว่า “ซุกหุ้น” เพื่อพิสูจน์ว่า พ.ต.ท.ทักษิณและคุณหญิงพจมานมีผลประโยชน์ ทับซ้อน กับอำนาจรัฐในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ประเด็นที่สอง พิสูจน์ให้เห็นว่ามีการใช้นโยบาย ของรัฐในการเอื้อประโยชน์ให้กับตัวเอง คู่สมรส และพวกพ้องหรือไม่ และการทำเช่นนั้นได้ทำให้ประเทศชาติเสียหายเท่าไร? ซึ่งประเด็นหลังอาจเรียกได้ว่าเป็นการ “พิสูจน์การทุจริตเชิงนโยบาย” สำหรับประเด็นแรกนั้น “พานทองแท้” เป็นตัวอย่างหนึ่งในกุญแจสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้น่าเชื่อว่าได้ม ีการถือหุ้นที่มีสัมปทานกับรัฐแทนพ่อแม่ ก่อนที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะมาเป็นนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติการผ่อง ถ่ายหุ้นสัมปทานและยัดหนี้ให้นายพานทองแท้ ลูกชายคนเดียวที่บรรลุนิติภาวะ จึงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและใช้เวลา เพียงแค่ 2 วันติดกัน คือวันที่ 30 สิงหาคม 2543 “เป็นวันแม่ยัดหนี้ให้ลูก” และวันที่ 1 กันยายน 2543 เป็นวัน “โอนหุ้นให้ลูกเพื่อรอวันปันผลคืน หนี้แม่” ดังนี้ 30 สิงหาคม 2543 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ขายหุ้นธนาคารทหารไทยจำนวน 150 ล้านหุ้น ซึ่งมีราคาตลาดหุ้นละ 5.70 บาท มูลค่าตลาดประมาณ 855 ล้านบาท ให้กับ พานทองแท้ 10 บาทต่อหุ้น หรือขายให้ลูกในราคา พาร์มูลค่า 1,500 ล้านบาท นอกจากนี้ “ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่จะซื้อหุ้นบุริมสิทธิ” ของธนาคารทหารไทย ซึ่งคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ได้สิทธินี้ฟรีๆ จากอัตราส่วน หุ้นสามัญของธนาคารทหารไทย 1 ส่วน ได้ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ฟรี 2 ส่วน ดังนั้นเมื่อคุณหญิงพจมาน ชินวัตร มีหุ้นทหารไทย 150 ล้านหุ้น คุณ หญิงพจมานจึงได้ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ฟรีๆ 300 หน่วย แต่กลับไปขายใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ที่ได้มาฟรีๆ นี้ให้กับ พานทองแท้ ราคาหน่วยละ 10 บาท จึงเท่ากับขายให้ลูกมูลค่า 3,000 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ราคาตลาดในวันที่ 30 สิงหาคม 2543 ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์มีราคา เพียงหน่วยละ 1.30 บาทเท่านั้น แต่ “พานทองแท้” ไม่มีเงินในการซื้อ จึงได้ออกตั๋วสัญญาใช้เงินเพื่อแสดงความเป็นหนี้คุณหญิงพจมาน 4,500 ล้านบาทในการซื้อทรัพย์สินครั้งนี้ ซึ่งทรัพย์สินที่ได้มานั้นหาก เทียบกับราคาตลาดจะมีเพียงแค่ 1,245 ล้านบาท แต่เทียบกับต้นทุนที่คุณหญิงพจมานได้ทรัพย์สินนี้มามีมูลค่าเพียง แค่ 1,500 ล้านบาท เท่ากับว่า “พานทองแท้” ต้องเป็นหนี้แม่ 4,500 ล้านบาท แต่เป็นหนี้เกินความเป็นจริงถึง 3,000 ล้านบาท! 1 กันยายน 2543 พานทองแท้ ซื้อหุ้น “ชินคอร์ป” โดยติดหนี้จากพ่อและแม่รวม 733 ล้านบาท ผลปรากฏว่า เงินทุกบาทที่ได้มาจากการปันผลของ “ชินคอร์ป” ทุกครั้งตั้งแต่วันที่ 14 มีนาคม 2544 ถึงวันที่ 26 มกราคม 2549 ให้กับ “แม่” ทั้งหมด 29 ครั้ง รวมเป็นเงิน 5,056 ล้านบาท โดยอ้างว่าเพื่อเป็นการคืนหนี้ที่ ได้มา (เกินความจริง) จากการซื้อหุ้นธนาคารทหารไทยและใบสำคัญแสดงสิทธิ ของธนาคารทหารไทย จาก “พานทองแท้” ที่เป็นผู้ถือหุ้นของ แอมเพิลริชนั้น แท้ที่จริงแล้ว กลต. และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้พบหลักฐานชัดเจนแล้วด้วยว่า วินมาร์คและแอมเพิลริช (ซึ่งถือหุ้นในเครือของหุ้นชินคอร์ปหลายตัว) เป็นของ พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในขณะเป็นนายกรัฐมนตรีจนถึงปี 2548 หนังสือรับรองของบริษัทแอมเพิลริชระบุว่า “การถอนเงินใดๆ จะต้องได้รับมอบอำนาจจากด็อกเตอร์ ที. ชินวัตร เท่านั้น” นี่คือการพิสูจน์การ “ซุกหุ้น” ที่แยบยลระดับโลก! หัน มาพิจารณาเรื่องการทุจริตนเชิงนโยบาย ศ.ดร.สิทธิชัย โภไคยอุดม อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ในรัฐบาลพลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้อธิบายต่อคณะผู้พิพากษาศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองว่า รวมความเสียหายที่เกิดขึ้นกับภาครัฐใน 3 รายการ ดังนี้ ความเสียหายจากการนำพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิตที่จัด เก็บได้จากกิจการโทรคมนาคมของเอกชน ไปคืนให้กับเอกชนเพื่อนำไปหักลด ค่าสัมปทานกิจการโทรคมนาคมที่ให้กับรัฐ รวมความเสียหายส่วน นี้ประมาณ 60,000 ล้านบาท ความเสียหายจากการปรับลดอัตราส่วนแบ่งราย ได้ให้บริษัท ทศท คอร์ปอเรชั่น จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ แบบบัตรเติมเงิน หรือ Prepaid Card ให้กับบริษัทเอไอเอส จากเดิมที่ต้องจ่ายแบบอัตราก้าวหน้าในอัตราร้อยละ 25-30 มาเป็นร้อยละ 20 รวม ความเสียหายประมาณ 70,000 ล้านบาทตลอดอายุสัมปทาน การยินยอมใช้ IP star ซึ่งเป็นดาวเทียมหลัก ให้มาเป็นดาวเทียมสำรองของไทยคม 3 โดยทำให้ไม่ต้องสัมปทานดาวเทียมใหม่ และไม่ต้องยิงดาวเทียมสำรองอีกดวงหนึ่ง ทำให้เกิดความเสียหาย และค่าเสียโอกาสไปอีกประมาณ 50,000 ล้านบาท นอกจากนั้น คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ยังได้รายงานความเสียหายเพิ่มเติมนอกจากนี้อีก 2 รายการ คือ ความ เสียหายกรณีมีการแก้ไขสัญญาอนุญาตให้ดำเนินกิจการโทรศัพท์เคลื่อน ที่ ปรับลดอัตราค่าใช้เครือข่ายร่วม (Roaming) เอื้อประโยชน์ชินคอร์ป และ AIS โดยแก้ไขให้ AIS เข้าไปใช้เครือข่ายร่วมผู้ให้บริการรายอื่นที่มี ผลทำให้ AIS ไม่ต้องจ่ายเงินกว่า 19,000 ล้านบาท ความเสียหายจากการอนุมัติให้ธนาคารเพื่อ การส่งออกนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือ เอ็กซิมแบงก์ ซึ่งปล่อยกู้ ให้ดอกเบี้ยต่ำกว่าทุน 4,000 ล้านบาท และขยายเวลาปลอดชำระหนี้จาก 2 ปี เป็น 5 ปีเพื่อนำไปซื้ออุปกรณ์จากการพัฒนา ระบบโทรคมนาคมของพม่าจาก บริษัท ชินแซทเทลไลท์ จำกัด รวมความเสียหายทั้ง 5 รายการ ประมาณ 200,000 ล้านบาท ซึ่งมากกว่าจำนวน 76,000 ล้านบาท ซึ่งกำลังถูกอายัดอยู่ขณะนี้ประมาณ 2.67 เท่าตัว! เรียกได้ว่ายึดเงิน 76,000 ล้านทั้งหมดก็ยังไม่พอความเสียหาย ที่ว่านี้เลย!
|
No comments:
Post a Comment