Google
 

Friday, December 28, 2007

เทศกาลดนตรีในสวน สวนลุมพินี ทุกเย็นวันอาทิตย์ 17.30 น.

เทศกาลดนตรีในสวน สวนลุมพินี ทุกเย็นวันอาทิตย์ 17.30 น.
บริเวณ"ศาลาภิรมย์ภักดี"
23 ธ.ค.50 Bangkok Symphony Orchestra อำนวยเพลงโดย นรอรรถ จันทร์กล่ำ นักร้องรับเชิญ ศรันย์ คุ้มบรรพต,"มิ้นท์ อรรถวดี จิระมณีกุล" กับคอนเซปต์วันคริสต์มาส
6 ม.ค.51 Bangkok Symphony Orchestra อำนวยเพลงโดย วานิช โปตะวานิช นักร้องรับเชิญ เด็บบี้ คล่องตรวจโรค, โมนิก้า คล่องตรวจโรค Theme Vienna Waltz
13 ม.ค.51 Bangkok Symphony Orchestra อำนวยเพลงโดย นรอรรถ จันทร์กล่ำ นักร้องรับเชิญ ธีรนัยน์ ณ หนองคาย, สุรุจ ปรีดารัตน์ คอนเซปต์เพลงการ์ตูน
20 ม.ค.51 Bangkok Symphony Orchestra อำนวยเพลงโดย วานิช โปตะวานิช นักร้องรับเชิญ "กบ"เสาวนิตย์ นวพันธ์, "กบ"ทรงสิทธิ์ รุ่งนพคุณศรี Theme Musical
27 ม.ค.51 Bangkok Symphony Orchestra อำนวยเพลงโดย Hikotaro Yazaki ศิลปินเดี่ยว ยศ วนีสอน Theme Classical Music
3 ก.พ. 51 Bangkok Symphony Orchestra อำนวยเพลงโดย วานิช โปตะวานิช นักร้องรับเชิญ ใจรัตน์ เจริญพิทักษ์ Theme Opera
10 ก.พ. 51 Bangkok Symphony Orchestra อำนวยเพลงโดย พลเรือตรี วีรพันธ์ วอกลาง นักร้องรับเชิญ "กบ"เสาวนิตย์ นวพันธ์ Theme Music from Hollywood

Thursday, December 27, 2007

ขากางเกงกับมะเร็งปากมดลูก

ขากางเกงกับมะเร็งปากมดลูก
ท่านทราบไหมว่า ผู้หญิงไทยป่วยและเสียชีวิตด้วยมะเร็งชนิดใดมากที่สุด ? จากสถิติทางการแพทย์ระบุไว้ว่า โรคมะเร็งที่ผู้หญิงไทยเป็นมากที่สุดคือ มะเร็งปากมดลูก ในเวลา 24 ชั่วโมง ผู้หญิงไทยไปเสียชีวิตด้วยมะเร็งปากมดลูกถึง 9 คน ในขณะที่ทั่วโลกทุก ๆ 2 นาที ผู้หญิง 1 คน จะเสียชีวิตด้วยมะเร็งปากมดลูกนี้ ในแต่ละปีจะมีผู้เสียชีวิตจากโรคนี้ 2.7 แสนคน ในปี 2545มีการสำรวจ พบว่า...มีผู้ป่วยโรคมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ 5 แสนคนทั่วโลก สำหรับในไทยมีถึง 6,000 ราย นี่เป็นการยืนยันว่า มะเร็งปากมดลูกเกิดได้กับสตรีทั่วโลก โดยไม่เลือก อายุ วัฒนธรรม การศึกษา

นายแพทย์ฉันทวัฒน์ เชนะกุล เล่าไว้ในเดลินิวส์ว่า ต้นเหตุของมะเร็งปากมดลูก พบว่าเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ เกิดจากไวรัสตัวหนึ่งที่ชื่อว่า “เอชพีวี” (Human Papilloma Virus) นอกจากนี้ไวรัสตัวนี้ยังก่อให้เกิดโรคติดเชื้อสารพัดทั้งในคนและสัตว์ เช่น หูดตามผิวหนัง หูดหงอนไก่ที่อวัยวะเพศ หรือแม้แต่ก้อนติ่งเนื้อในหลอดเส้นเสียง ฯลฯ “เซลล์ปากมดลูกของผู้หญิง”จะมีการแบ่งตัวตลอดเวลา พอไวรัสตัวนี้เข้าไปปุ๊บ ก็ไปทำให้เกิดการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติขึ้น ซึ่งการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติจะพัฒนาไปเป็นมะเร็งได้ แต่ในผู้ชายไม่มีจุดที่ว่านี้ เพราะส่วนที่ปกคลุมอวัยวะเพศชายทั้งหมดเป็นเซลล์ชนิดเดียวกันหมด เหมือนผิวหนังของคนเรา ไม่มีส่วนที่เป็นเซลล์เปลี่ยนแปลง ผู้ชายจึงได้เปรียบ แม้มีไวรัสตัวนี้อยู่ในตัว แต่ไม่มีโรค ไม่มีอาการอะไร การตรวจหาในผู้ชายจึงยากนัก

นายแพทย์วิสิทธิ์ สุภัครพงษ์กุล สูตินรีแพทย์ จากโรงพยาบาลราชวิถี ให้สัมภาษณ์ไว้ในกรุงเทพธุรกิจว่า เชื้อไวรัส เอชพีวีพบได้ในที่ทั่ว ๆ ไป สามารถติดต่อได้ง่าย ๆ และติดเชื้อได้ซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้ง เชื้อนี้อาจจะหายได้เองภายใน 3 ปี แต่ถ้าติดเชื้อแบบเรื้อรังจนอาจฝังตัวอยู่ในเซลล์ของปากมดลูก ก็จะพัฒนาไปสู่การเป็นมะเร็งปากมดลูกได้

ผู้หญิงหลายคนเข้าใจว่า...โรคมะเร็งปากมดลูกจะติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์เท่านั้น หรือบางคนก็เข้าใจว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ หลายคนดูพ่อแม่พี่น้องตัวเองไม่มีใครเป็น จึงทำให้ผู้หญิงขาดการระมัดระวังตัว ตอนนี้จึงต้องมาทำความเข้าใจกับผู้หญิงให้ถูกต้อง ว่า ...มะเร็งปากมดลูก นอกจากการมีเพศสัมพันธ์แล้ว แม้ไม่มีการสอดใส่ เพียงแค่สัมผัสของผิวหนังที่บริเวณอวัยวะเพศ ก็สามารถติดเชื้อได้แล้ว นายแพทย์วิสิทธิ์ ได้ยกตัวอย่างเรื่องขากางเกงของผู้หญิงที่ชอบใส่ยาว ๆ ลากพื้น หากเข้าห้องน้ำหรือส้วมสาธารณะขากางเกงนั้นอาจจะลากเอาเชื้อ“เอชพีวี”ติดมากับขากางเกงด้วย และหากเอามือไปจับต้องขากางเกง แล้วนำไปจับผ้าเช็ดตัว กางเกงชั้นใน หรือสิ่งอื่น ๆ ที่ต้องไปสัมผัสกับอวัยวะเพศ ก็เสี่ยงที่จะติดเชื้อเอชพีวีได้

เมื่อคุณหมอออกมาเตือนกันเช่นนี้ ผู้หญิงจึงจำเป็นต้องเพิ่มความระมัดระวังตัวในการเข้าห้องน้ำห้องส้วมเพิ่มมากขึ้น

- เริ่มตั้งแต่สำรวจความสะอาดของส้วมก่อนว่าเป็นเช่นไร? สะอาดไหม?พื้นแห้งไหม
- หากส้วมไหนสกปรก เปียกชื้นก็ต้องระมัดระวังให้ดี ไม่จำเป็นก็ไม่ควรเข้า
- แต่หากสุดจะทน ก่อนเข้าก็ต้องพับขากางเกงให้เรียบร้อยก่อนเข้าเพื่อป้องกันไม่ให้เปียกชื้น
- ราดน้ำให้สะอาดก่อนนั่งส้วมทุกครั้ง หากเป็นโถชักโครกก็ควรจะใช้กระดาษทิชชูเช็ดฐานที่นั่งให้แห้งก่อนนั่ง
- เมื่อเสร็จกิจก่อนจะล้างอวัยวะเพศหรือก้นควรล้างมือด้วยน้ำสะอาดก่อนแล้วจึงล้างอวัยวะเพศด้วยน้ำสบู่หากในห้องน้ำนั้นมีพร้อมแต่ถ้าไม่มีก็ควรล้างน้ำเปล่าหลาย ๆครั้งจนแน่ใจว่าสะอาด
- ใช้กระดาษซับอวัยวะให้แห้งก่อนใส่กางเกงใน
- ก่อนละจากส้วมต้องไม่ลืมราดน้าให้สะอาด ปราศจากกลิ่น สี และมูลของเรา เพื่อแสดงความรับผิดชอบที่ดีต่อสังคม และเป็นการเอื้ออาทรให้คนอื่นได้ใช้ด้วย
- เปิดประตูออกจากส้วมมาแล้วก็ยังต้องไม่ลืมล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอีกครั้ง ต้องไม่ลืมล้างลูกบิดก๊อกน้ำก่อนล้างมือทุกครั้งนะเพราะที่ตรงนั้นเต็มไปด้วยเชื้อโรค
- หลังล้างมือเสร็จควรเช็ดมือให้แห้งด้วยทิชชู หรือผ้าเช็ดหน้า ไม่ควรสัมผัสอะไรอีก แต่ถ้าต้องสัมผัสลูกบิดประตูอีกครั้งขอแนะนำว่า ใช้กระดาษทิชชูเป็นตัวช่วยในการเปิดลูกบิด มือเราจะได้ไม่ต้องกลับไปสัมผัสเชื้อโรคอีก
- อีกอย่างที่อยากจะฝาก แม้ไม่ใช่ห้องน้ำสาธารณะที่บ้านเราเองก็ควรจะมีพฤติกรรมอย่างที่แนะนำมาข้างต้น โดยเฉพาะพื้นห้องน้ำห้องส้วมควรเช็ดให้แห้งอย่าให้เปียกชื้นเพราะนอกจากช่วยป้องกันโรคแล้ว ยังช่วยป้องกันอุบัติเหตุด้วย

ดูแล้วเหมือนเป็นเรื่องยาก แต่หากคุณผู้หญิงทำให้เป็นนิสัย พกทิชชูเป็นประจำ ล้างมือทุกครั้ง ใส่ใจเพียงนิดเดียวมะเร็งร้ายก็ห่างไกลแล้วล่ะ

ดั ช นี ต ล า ด หุ้ น 26 ธ.ค. 50

ดั ช นี ต ล า ด หุ้ น
26 ธ.ค. 50 Value Net Chg
DOW JONES 13,549.33 +98.68
S&P 500 1,496.45 +11.99
NASDAQ 2,713.50 +21.51
FTSE 100 6,479.30 +45.20
CAC 40 5,614.28 +11.51
DAX 8,002.67 +133.48
NIKKEI 15,653.54 +100.95
HANG SENG 28,128.80 +501.88

อัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน 27 ธันวาคม 2550

จั บ ก ร ะ แ ส ต ล า ด
ดอลลาร์ สหรัฐ 33.83 บาท
เยน ญี่ปุ่น(100) 30.70 บาท
ยูโร 48.81 บาท
ปอนด์ อังกฤษ 67.03 บาท
หยวน จีน 4.61 บาท
ดอลลาร์ ฮ่องกง 4.34 บาท
ดอลลาร์ ออสเตรเลีย 29.55 บาท
ดอลลาร์ สิงค์โปร์ 23.40 บาท

เบนซิน 95 32.49 บาท
เบนซิน 91 31.19 บาท
น้ำมันดีเชล 28.94 บาท

ราคาทองคำ รับซื้อ ขายออก
ทองคำแท่ง12,800 บาท 12,900 บาท
ทองรูปพรรณ12,613.12 บาท 13,300 บาท

5 ข่าวเด่นอุตฯยานยนต์โลก'07

โดย ผู้จัดการออนไลน์
26 ธันวาคม 2550 15:16 น.
ปี 2007 ที่ผ่านมา อุตสาหกรรมรถยนต์ทั่วโลกมีความเคลื่อนไหวมากมาย ทั้งในแง่ดีและแง่ร้าย และนี่คือ 5 ข่าวดังที่ผ่านการคัดเลือกมา
1.ถึงเวลาสิ้นสุดยุค PAG
สัญลักษณ์แห่งความหรูของฟอร์ดภายใต้ชื่อ PAG หรือ Premier Automotive Group ของฟอร์ด ซึ่งเกิดจากการรวมตัวกันของ ‘ดรีมทีม’ ระดับหรูอย่างแอสตัน มาร์ติน, วอลโว่, แลนด์โรเวอร์ และจากัวร์ ถึงคราวล่มสลายไปพร้อมๆ กับการเกิดสภาพวิกฤตของบริษัทแม่ หลังจากที่กลุ่มนี้ถูกตั้งขึ้นมาในทศวรรษที่ 1990 ภายใต้ยุคของประธานเก่าอย่างจากส์ แนสเซอร์
จุดเริ่มต้นของการแตกตัวเกิดขึ้นเมื่อทางฟอร์ดประกาศขายกิจการของแอสตัน มาร์ติน และอีก 2 บริษัทในเครือ คือ จากัวร์ และแลนด์โรเวอร์ ก่อนที่แบรนด์แรกจะถูกซื้อไปอย่างรวดเร็วโดยกลุ่มนักธุรกิจในอังกฤษ ซึ่งนำทัพโดยเดวิด ริชาร์ด ผู้ก่อตั้งบริษัทโปรไดร์ฟ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2007 ด้วยมูลค่า 848 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 29,000 ล้านบาท
จากนั้นก็มาถึงการเร่ขายกิจการของแลนด์โรเวอร์ และจากัวร์ ซึ่งฟอร์ดต้องใช้เวลานานมากในการค้นหาเนื้อคู่ เพราะจากการขายเป็นแพ็คคู่อย่างนี้ ทำให้ไม่ค่อยได้รับความสนใจเท่าไร แต่ก็ยังพอมีผู้ที่สนใจจริง ซึ่งประกอบไปด้วยตาตา และมหินธรา 2 บริษัทรถยนต์จากอินเดีย และอีกกลุ่มนักธุรกิจที่นำทัพโดยอดีตประธานเก่าอย่างแนสเซอร์ และนิก ชีลเล
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าทุกฝ่ายจะถอนตัวออกไปแล้ว และเหลือเพียงแค่ตาต้าเท่านั้นที่ยังเดินหน้าเจรจาเกี่ยวกับการเทกโอเวอร์กิจการในครั้งนี้ และล่าสุดมีข่าวแถลงออกมาว่าตาต้าตกลงเทกโอเวอร์กิจการของทั้ง 2 บริษัทแล้วเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2007 ด้วยมูลค่ารวมทั้งสิ้น 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 70,000 ล้านบาท แต่ยังไม่มีการแถลงข่าวออกมาอย่างเป็นทางการจากทั้ง 2 ฝ่าย
ในขณะที่วอลโว่ ซึ่งฟอร์ดไม่มีนโยบายที่จะขายกิจการออกไป เพราะมีความเกี่ยวข้องในด้านวิศวกรรมการพัฒนากับรถยนต์ของฟอร์ดอยู่พอสมควรนั้น กลับเป็นแบรนด์เนื้อหอม เพราะมีข่าวว่าบีเอ็มดับเบิลยูให้ความสนใจที่จะเทคโอเวอร์ แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ข่าวลือ
2.เมื่อเดมเลอร์ไม่มีไครสเลอร์
เป็นอีกข่าวที่โด่งดังมากในปี 2007 เมื่อเดมเลอร์ไครสเลอร์ประกาศขายกิจการของไครสเลอร์ คอร์ปอเรชันที่รวมกิจการและร่วมหัวจมท้ายกันมาตั้งแต่ปี 1996 ซึ่งการแยกทางในครั้งนี้มีกลุ่มบริษัทหลายแห่งเข้ามาประมูลเพื่อดึงกิจการของไครสเลอร์เอาไว้ ก่อนที่ทางเซอร์เบอรุส คอร์ปอเรชันจะเป็นผู้ชนะ
โดยทั้งเดมเลอร์ไครสเลอร์และเซอร์เบอรุสประกาศถึงเรื่องการซื้อขายหุ้นเสียงส่วนใหญ่จำนวน 80.1% ในครั้งนี้ซึ่งมีมูลค่า 7,400 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 244,200 ล้านบาทเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และใช้เวลาร่วม 2 เดือนครึ่งในการจัดการทุกขั้นตอนการโอนย้ายกิจการจากเดมเลอร์ไครสเลอร์มาอยู่ในมือเจ้าของใหม่
หลังจากแยกทางกันแล้ว ทางไครสเลอร์จัดการยกเครื่องครั้งใหญ่ ตั้งแต่การเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่มาเป็น Chrysler LLC. เพื่อทำหน้าที่ในการดูแลตลาดและจำหน่ายรถยนต์แบรนด์ไครเลอร์, จี๊ป และดอดจ์ ส่วนทางเดมเลอร์ก็จะเปลี่ยนจากเดมเลอร์ไครสเลอร์มาเป็น Daimler AG รวมถึงการกลับมาใช้โลโก้ดั้งเดิมของไครสเลอร์ คือ Pentastar อีกครั้ง หลังจากที่ถูกถอดเก็บเอาไว้ในช่วงที่มีการรวมกิจการกับเดมเลอร์เมื่อ 9 ปีที่แล้ว
ในส่วนของงานบริหาร ในตอนแรกมีข่าวว่าผู้บริหารของเซอร์เบอรุสจะดึงตัววูล์ฟแกง เบิร์นฮาร์ด อดีตผู้บริหารมือดีของไครสเลอร์ที่กำลังว่างงานเพราะเพิ่งลาออกจากโฟล์คสวาเกนมานั่งในตำแหน่งประธาน แต่สุดท้ายก็พลิกโผ เพราะตำแหน่งนี้ตกเป็นของนายโรเบิร์ต หรือบ็อบ นาร์เดลลี่ (Robert Nardelli) อดีตผู้บริการของ Home Depot ไปแทน
จากนั้นก็ช็อคระลอก 2 ด้วยการหว่านล้อมดึงตัวจิม เพรสส์มาจากโตโยต้า อเมริกาเหนือ ทั้งที่เมื่อปี2006 เพรสส์เพิ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานของโตโยต้า อเมริกาเหนือ และเป็นผู้บริหารคนแรกที่ไม่ใช่ชาวญี่ปุ่นซึ่งขึ้นมาสูงในระดับนี้ อีกทั้งไครสเลอร์ยังดึงตัวผู้บริการและนักการตลาดมือดีอีกหลายคนมาจากโตโยต้า อเมริกาเหนือ เพื่อช่วยฟื้นฟูกิจการของไครสเลอร์
3.โตโยต้ากับความหวังสู่หมายเลข 1 ของโลก
โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชันมั่นใจ อีก 2 ปียอดขายรวมทั่วโลกเกิน 10 ล้านคันอย่างแน่นอน และด้วยตัวเลขในระดับนี้ทางผู้ผลิตรถยนต์ของญี่ปุ่นมั่นใจว่าจะสามารถโค่นบัลลังก์ของจีเอ็มที่ผงาดอยู่ในตลาดโลกมามากกว่า 70 ปีได้อย่างแน่นอน
คัตซึอากิ วาตานาเบ้ ประธานของโตโยต้าเปิดเผยว่า ทางบริษัทได้นำเป้าหมายนี้มารวมอยู่ในการสร้างกลยุทธ์ด้านการขยายตัวทางยอดขายของบริษัท โดยนอกจากการเพิ่มยอดขายแล้ว ทางโตโยต้าจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับการยกระดับด้านคุณภาพของตัวผลิตภัณฑ์ และการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เช่น ระบบไฮบริดรุ่นใหม่ที่จะนำมาใช้กับรถยนต์ของเล็กซัส ซึ่งโตโยต้ามั่นใจว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นตัวกระตุ้นตลาดชั้นดี และปี 2009 จะสามารถทำยอดขายเกิน 10 ล้านคัน โดยอยู่ในระดับ 10.4 ล้านคันอย่างแน่นอน
‘ทุกโอกาสที่เปิดกว้าง เราจะพยายามพิชิตมันให้ได้ เราจะลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ และพยายามเปลี่ยนความเสี่ยงเหล่านั้นให้กลายมาเป็นโอกาสสำหรับเรา’ นายวาตานาเบ้กล่าวที่งานแถลงข่าวโรงแรมแห่งหนึ่งที่โตเกียว
สำหรับภูมิภาคที่เป็นเป้าหมายในการเพิ่มยอดขายของโตโยต้าครั้งนี้ นอกจากตลาดอเมริกาเหนือ และยุโรปแล้ว โตโยต้ายังเล็งไปยังตลาดเกิดใหม่ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เช่น จีน, รัสเซีย, อินเดีย และบราซิลอีกด้วย ขณะที่ตลาดญี่ปุ่นก็จะพยายามคงสถานทั้งในเรื่องของส่วนแบ่งและตัวเลขยอดขายเอาไว้ไม่ให้ลดลงจากเดิม เพราะที่ผ่านมา แนวโน้มของตลาดรถยนต์ญี่ปุ่นมีแต่หดตัวลดเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม นายวาตาเบ้กล่าวปฏิเสธเมื่อถูกถามว่าแผนการแห่งความทะเยอทะยานในครั้งนี้ของโตโยต้าคือความต้องการที่จะลบสถิติในด้านยอดขายต่อปีที่ทางจีเอ็มทำเอาไว้เมื่อปี 1978 ซึ่งตอนนั้นผู้ผลิตรายใหญ่จากเมืองลุงแซมทำเอาไว้ได้ 9.55 ล้านคัน และเป็นสถิติยอดขายต่อปีที่ยังคงไม่มีใครลบลงได้มานานเกือบ 30 ปี
ปัจจุบัน โตโยต้าสามารถลดช่องว่างของตัวเลขยอดขายต่อปีที่แต่เดิมเคยถูกจีเอ็มทิ้งห่าง โดยปัจจัยแห่งความสำเร็จเป็นผลมาจากความนิยมที่มีต่อรถยนต์รุ่นสำคัญอย่างคัมรี่ และพริอุสที่เกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกา และตลาดโลก โดยในปีที่แล้วยอดขายของโตโยต้ารวมถึงบริษัทในเครืออย่างไดฮัทสุมีตัวเลขอยู่ที่ 8.8 ล้านคัน ส่วนจีเอ็มอยู่ที่ 9.1 ล้านคัน
เป้าหมายปีนี้ของโตโยต้าคือ การทำยอดขายต่อปีขยับขึ้นมาเป็น 9.34 ล้านคัน และขยับเป็น 9.8 ล้านคันในปี 2008 ก่อนที่จะทะลุ 10 ล้านคันปี 2009 โดยปีนี้หากทางจีเอ็มยังไม่รีบพลิกตัวแก้ไขสถาน การณ์มีความเป็นไปได้สูงว่าจะสูญเสียตำแหน่งหมายเลข 1 ตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะยอดขายรวมช่วงครึ่งปีแรก ทางจีเอ็มตามหลังโตโยต้าอยู่ ด้วยตัวเลข 4.674 ล้านคัน กับ 4.72 ล้านคัน
แต่เมื่อพิจารณาเรื่องของการผลิตแล้ว จีเอ็มยังเป็นผู้นำอยู่ โดยครึ่งแรกของปีนี้ผลิตรถยนต์ออกมา 4.75 ล้านคัน ส่วนโตโยต้าผลิตออกมาเพียง 4.71 ล้านคัน
4.ตลาดเกิดใหม่ที่ ‘อินเดีย’
จริงอยู่ที่ว่าจีนยังเป็นตลาดรถยนต์เกิดใหม่ที่ยังมีศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่องไปอีกหลายปีนับจากนี้ แต่ทว่าผู้ผลิตรถยนต์หลายรายก็เริ่มมองหาตลาดแห่งใหม่ที่จะสามารถสร้างปรากฏการณ์ด้านยอดขายได้เหมือนกับจีน โดยอินเดีย คือ คำตอบที่พวกเขากำลังมองอยู่
ในเรื่องของประชากรแล้ว ทั้งอินเดียอาจจะเป็นรองจีน แต่ก็ถือว่าไม่มากนัก แต่ในเรื่องของแนวโน้มการขยายตัวและอัตรารายได้ที่เพิ่มขึ้นของประชากรกลับอยู่ในระดับที่น่าสนใจ ซึ่ง Keystone บริษัทวิเคราะห์ด้านอุตสาหกรรมรถยนต์ในสหรัฐอเมริกา ชี้ว่า อินเดียจะมีการขยายตัวของตลาดรถยนต์จนสามารถเติบโตขึ้นมายืนเป็นอันดับ 3 ของโลกในแง่ยอดจำหน่ายได้ภายในปี 2030
แน่นอนว่าความน่าสนใจของตลาดเหล่านี้ก่อให้เกิดการเทงบประมาณเพื่อลงทุนในระยะยาวของบริษัทรถยนต์ เช่น จีเอ็มประกาศเทงบประมาณ 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือ 16,500 ล้านบาทสำหรับการใช้ในการพัฒนารถยนต์เพื่อประเทศที่เป็นตลาดรถยนต์เกิดใหม่เหล่านี้ รวมถึงการงัดโปรเจ็กต์ต่างๆ เพื่อใช้อินเดียเป็นฐานในการพัฒนารถยนต์รุ่นเล็กราคาประหยัด เช่น โฟล์คสวาเกนกับโปรเจ็กต์ Up! หรือ ซูซูกิกับต้นแบบรุ่น A-Star Concept ที่จะเริ่มขายในปีหน้า
5.สีเงินยังครองใจคนซื้อรถทั่วโลก
สีเงินยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องสำหรับลูกค้าทั่วโลก เมื่อทาง PPG Industries ผู้ผลิตสีสำหรับรถยนต์รายใหญ่ในสหรัฐอเมริกา จัดการสำรวจตัวเลขของสีรถยนต์ที่มีการผลิตออกสู่ตลาดในช่วงปี 2007 พบว่าสีเงินยังมาแรงเป็นอันดับ 1 ขณะที่สีดำอยู่ในอันดับที่ 2 เริ่มมีความนิยมเพิ่มมากขึ้น
จากรายงานฉบับนี้เปิดเผยว่า ในตลาดทั่วโลกนั้น รถยนต์ที่ใช้สีเงินอยู่ที่ 31.5% ลดลงจาก 33% ในปีที่แล้ว ส่วนสีดำตามมาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยสัดส่วนที่ขยับเพิ่มขึ้นจาก 15.4% จากปี 2006 มาเป็น 18% ตามด้วยสีขาว (12.5%), น้ำเงิน (12.4%), แดง (8.8%) สีที่มาจากธรรมชาติ เช่น ทอง, ส้ม หรือน้ำตาล (6.6%) และสีอื่นๆ (5.9%)
ส่วนในตลาดอเมริกาเหนือก็มีอันดับที่ไม่แตกต่างจากตลาดโลก ซึ่งสีเงินยังเป็นหมายเลข 1 ที่ครองใจคนภูมิภาคนี้ ด้วยตัวเลข 22% ลดลง 2% จากปีที่แล้ว ส่วนสีขาวขยับขึ้นมาเป็นอันดับที่ 2 ด้วยส่วนแบ่ง 16% เบียดสีดำให้หล่นลงไปอยู่อันดับที่ 3 (15%) ตามด้วยแดง (13%), น้ำเงิน (12%), สีที่มาจากธรรมชาติ เช่น ทอง, ส้ม หรือน้ำตาล (10%) และสีอื่นๆ (6%)
‘สีเงินยังเป็นที่นิยมในกลุ่มลูกค้าและผู้ผลิตรถยนต์ก็เพราะเป็นสีที่เหมาะสมกับรถยนต์ และทำให้ดูทันสมัยอยู่เสมอ แล้วก็มีราคาขายต่อที่ดี’ เจน แฮร์ริงตัน ผู้จัดการของ PPG กล่าว
แฮร์ริงตันยังกล่าวอีกว่า จากการสำรวจผู้บริโภคที่เข้าร่วมงานดีทรอยต์ มอเตอร์โชว์ 2007 เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา พบว่า 65% ของกลุ่มลูกค้าตัดสินใจเลือกรถยนต์ยี่ห้อที่มีตัวเลือกของเฉดสีมากกว่ารถยนต์ในระดับเดียวกันของยี่ห้อคู่แข่งที่มีตัวเลือกของสีน้อยกว่า

ทำไมเวลาตากฝน แล้วถึงเป็นหวัด

April 30th, 2007
เคยสงสัยไหมครับว่า เวลาตากฝน โดยเฉพาะเวลาศีรษะเปียกฝน แล้ววันต่อมา เริ่มมีอาการของหวัด เช่น มีอาการจาม คัดจมูก หรือมีน้ำมูก วันนี้ ผมมีคำอธิบาย และมีคำแนะนำเวลาตากฝน โรคหวัด ก็คือโพรงจมูกอักเสบจากการติดเชื้อ ซึ่งสาเหตุส่วนใหญ่มักจะเกิดจากไวรัส มีไวรัสเป็นร้อยชนิด ที่ทำให้เกิดไข้หวัดได้ ไวรัสเหล่านี้ กระจายฟุ้งอยู่ในอากาศ แล้วก็ตกลงอยู่ทีพื้น หรือเกาะอยู่ตามฝุ่น ไวรัสเหล่านี้ สามารถมีชีวิตอยู่ได้นาน ในช่วงปกติ เราก็จะสัมผัสกับไวรัสเหล่านี้อยู่บ้าง แต่เนื่องจากปริมาณมีไม่สูง รวมทั้งภูมิต้านทานของร่างกาย และสภาวะแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เราจึงไม่เป็นโรคหวัด ก่อนฝนตก มักจะมีกระแสลมที่แรง ลมเหล่านี้ จะพัดให้ไวรัสให้ฟุ้งกระจายปริมาณมาก หากเราอยู่ในบริเวณนั้น ก่อนฝนตก โอกาส ที่จะสัมผัสไวรัสในปริมาณมากก็มีมากขึ้น ดังนั้น พยายามอย่าอยู่ในที่โล่งแจ้งโดยเฉพาะเวลาก่อนฝนตกนะครับ หรือถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ อาจใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดปากปิดจมูก ในช่วงเวลานั้นก็ได้ครับ หากเราตากฝน ศีรษะของเราก็จะเปียกฝน เชื้อโรคไม่ได้เข้าทางศีรษะนะครับ แต่การที่ศีรษะเปียกฝน จะมีผลทำให้อุณภูมิที่พื้นผิวของเยื่อบุจมูกลดต่ำลงประมาณ 1-2 องศาเซลเซียส ซึ่งอุณหภูมิระดับนี้ เหมาะสมสำหรับการแบ่งตัวของเชื้อไวรัสที่ตกค้างอยู่ในช่องจมูก ประกอบกับการสัมผัสเชื้อไวรัสปริมาณมากช่วงก่อนฝนตก ก็เลยทำให้มีไวรัสจำนวนมากบริเวณเยื่อบุจมูก ภูมิต้านทานของร่างกาย จึงไม่อาจต้านทานเชื้อเหล่านี้ได้อีกต่อไป ก็เลยเกิดการอักเสบของเยื่อบุจมูก เกิดอาการบวมของเยื่อบุจมูก ทำให้คัดจมูก รวมทั้งเกิดการสร้างสารคัดหลั่งมากขึ้น ซึ่งก็คือน้ำมูก นั่นเอง หากเชื้อไวรัสลุกลามไปที่ลำคอ ก็จะทำให้เกิดคออักเสบตามมาได้ นอกจากศีรษะที่เปียกฝน ที่มีผลต่ออุณหภูมิในจมูกแล้ว อุณหภูมิบริเวณมือและเท้า ก็มีผลด้วยเช่นเดียวกัน การที่รองเท้าเราเปียกน้ำ และต้องแช่อยู่ในนั้นนานๆ ก็มีผลทำให้อุณภูมิในจมูกลดลง นำไปสู่อาการเป็นหวัดได้

วิธีการป้องกัน ไม่ให้เกิดหวัดเวลาศีรษะเปียกฝนก็คือ

  • หลบฝนในที่ร่มเสียก่อน รอจนฝนหยุด แล้วค่อยเดินทางต่อ
  • ใช้ร่มเพื่อบังศีรษะของเราไว้
  • หากศีรษะเปียกฝน รีบเช็ดให้แห้งเมื่อมีโอกาส ถ้าจะให้ดี สระผมไปเลยก็ได้ แล้วเช็ดหรือเป่าให้แห้งโดยเร็ว
  • รีบทำให้ร่างกายอบอุ่น
  • อาจแช่เท้าทั้งสองข้างในน้ำอุ่น เพื่อช่วยเปลี่ยนอุณภูมิที่พื้นผิวของจมูก ทำให้ไม่เหมาะต่อการแบ่งตัวของเชื้อโรค
  • รับประทานผลไม้ ที่มีวิตามินซีสูงๆ เช่น ส้ม วิตามินซี จะช่วยเสริมสร้างเซลและเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายไป ช่วยป้องกันการเป็นหวัดได้
วิธีการง่ายๆ เหล่านี้ ก็ทำให้คุณไม่เป็นหวัดง่ายๆ ในหน้าฝนนี้ครับ

Wednesday, December 26, 2007

อัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน 26 ธันวาคม 2550

จั บ ก ร ะ แ ส ต ล า ด
ดอลลาร์ สหรัฐ 33.80 บาท
เยน ญี่ปุ่น(100) 30.70 บาท
ยูโร 48.65 บาท
ปอนด์ อังกฤษ 67.32 บาท
หยวน จีน 4.60 บาท
ดอลลาร์ ฮ่องกง 4.34 บาท
ดอลลาร์ ออสเตรเลีย 29.29 บาท
ดอลลาร์ สิงค์โปร์ 23.26 บาท

เบนซิน 95 32.49 บาท
เบนซิน 91 31.19 บาท
น้ำมันดีเชล 28.94 บาท

อัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน 25 ธันวาคม 2550

จั บ ก ร ะ แ ส ต ล า ด
ดอลลาร์ สหรัฐ 33.80 บาท
เยน ญี่ปุ่น(100) 30.70 บาท
ยูโร 48.65 บาท
ปอนด์ อังกฤษ 67.32 บาท
หยวน จีน 4.59 บาท
ดอลลาร์ ฮ่องกง 4.34 บาท
ดอลลาร์ ออสเตรเลีย 29.29 บาท
ดอลลาร์ สิงค์โปร์ 23.24 บาท

เบนซิน 95 32.49 บาท
เบนซิน 91 31.19 บาท
น้ำมันดีเชล 28.94 บาท

อัตราแลกเปลี่ยนประจำวัน 21 ธันวาคม 2550

จั บ ก ร ะ แ ส ต ล า ด

ดอลลาร์ สหรัฐ 33.78 บาท
เยน ญี่ปุ่น(100) 30.70 บาท
ยูโร 48.79 บาท
ปอนด์ อังกฤษ 68.15 บาท
หยวน จีน 4.58 บาท
ดอลลาร์ ฮ่องกง 4.34 บาท
ดอลลาร์ ออสเตรเลีย 29.24 บาท
ดอลลาร์ สิงค์โปร์ 23.29 บาท
เบนซิน 95 32.49 บาท
เบนซิน 91 31.19 บาท
น้ำมันดีเชล 28.94 บาท


ราคาทองคำ รับซื้อ ขายออก
ทองคำแท่ง 12,700 บาท 12,800 บาท
ทองรูปพรรณ 12,522.16 บาท 13,200 บาท